1124 1993 1779 1757 1291 1124 1986 1565 1056 1190 1809 1571 1290 1198 1508 1150 1474 1798 1649 1826 1590 1166 1095 1163 1018 1618 1256 1456 1563 1982 1253 1704 1275 1981 1056 1865 1756 1221 1763 1004 1738 1609 1812 1541 1719 1446 1655 1700 1651 1854 1486 1353 1750 1093 1960 1293 1720 1691 1967 1906 1755 1658 1501 1340 1038 1860 1913 1766 1788 1173 1957 1444 1368 1207 1368 1019 1464 1532 1036 1117 1065 1599 1190 1640 1224 1726 1279 1857 1305 1982 1176 1796 1679 1606 1199 1790 1701 1243 1755 2561 ปีที่การแข็งขืนต่อคสช.เริ่มมีความหวัง | Freedom of Expression Documentation Center | ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ

2561 ปีที่การแข็งขืนต่อคสช.เริ่มมีความหวัง


1000

 
ตลอดปี 2561 บรรยากาศทางการเมืองผันผวนและคาดเดาไม่ได้ ช่วงต้นปีสังคมคาดหวังว่า คสช. จะจัดการเลือกตั้งคืนอำนาจให้ประชาชนภายในปีนี้ แต่สุดท้ายเงื่อนเวลาที่ถูกวางไว้ก็ทำให้โรดแมปสู่การเลือกตั้งต้องถูกขยายออกไปเป็นอย่างเร็วที่สุดต้นปี 2562 บรรยากาศการเคลื่อนไหวทางการเมืองในปีนี้จึงพุ่งเป้าไปที่การเรียกร้องให้มีการจัดการเลือกตั้ง แม้ท้ายที่สุดการเลือกตั้งก็ไม่เกิดขึ้นในปี 2561 แต่เมื่อบรรยากาศทางการเมืองกำลังเดินเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ ความเคลื่อนไหวก็ค่อยๆ คึกคักมากขึ้น การเกิดขึ้นของพรรคการเมืองหน้าใหม่ และการเริ่มขยับตัวของพรรคการเมืองเดิม ทำให้บทสทนาเรื่องการเมืองและอนาคตของประเทศกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง ในอีกทางหนึ่ง การใช้คดีความเพื่อ "ปิดปาก" ผู้ที่แสดงความเห็นต่างทางการเมืองก็ยังเดินไป แม้จะไม่ลดลงในเชิงปริมาณ แต่ด้วยรูปแบบการดำเนินคดีที่ซ้ำไปซ้ำมาจนพอคาดเดาได้ ก็ทำให้คนเรียนรู้ที่จะแสดงออกได้มากขึ้น
 
คดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เคยเป็นเครื่องมือสร้างความหวาดกลัวอย่างสูงสุดในยุค คสช. เคยทำให้คนหลายสิบต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำกันยาวๆ ปรากฏทิศทางการบังคับใช้ที่พลิกโฉมจากหน้ามือเป็นหลังมือในปี 2561 โดยเท่าที่มีข้อมูลมีคนถูกจับกุมและตั้งข้อหามาตรา 112 เพิ่มขึ้นเพียงคนเดียวในปีนี้ และมีอย่างน้อย 5 คดีที่ศาลพิพากษายกฟ้อง แม้บางคดีจำเลยจะรับสารภาพก็ตาม
 
คดียุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ที่คสช.มักหยิบมาใช้ตั้งข้อหาเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ต่อต้าน หรือวิจารณ์ คสช. ก็ยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นพร้อมกับกระแสที่ประชาชนรู้สึกไม่พอใจ คสช. แต่ข้อหานี้อาจจะไม่ประสบผลสำเร็จต่อไปในการสร้างความหวาดกลัว เมื่อนักกิจกรรมกลุ่มหนึ่งยังกล้าที่จะแสดงความเห็นต่างกับ คสช. อย่างต่อเนื่อง แม้จะได้รับข้อหาเป็น "ของแถม" จากการใช้เสรีภาพแต่ละครั้งก็ตาม และมาตรา 116 จะกำหนดโทษจำคุกสูงสุดถึงเจ็ดปี แต่สถาบันศาลก็เริ่มมีแนวโน้มเห็นใจ และปล่อยตัวผู้ต้องหาโดยไม่ต้องวางเงินประกัน ภาพของข้อหา "ยุยงปลุกปั่น" จึงไม่ได้น่ากลัวจนทำให้ผู้เห็นต่างยุติการแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะได้
 
คดีตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ แม้ในปี 2560 จะมีการแก้ไขความในมาตรา 14(1) ไม่ให้นำพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาฟ้องปิดปากการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์พ่วงกับข้อหาหมิ่นประมาท แต่มาตรา 14(2) ก็ถูกขยายขอบเขตให้กว้างขึ้นและกลายเป็นข้อหาครอบจักรวาลที่ถูก คสช. หยิบยกมาใช้ดำเนินคดีกับผู้แสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์เพื่อวิพากษ์วิจารณ์ คสช. อย่างไรก็ตามหลังมีการประโคมข่าวการแจ้งข้อกล่าวหาคดีนี้อย่างเอิกเริก คดีเหล่านี้ก็มักจะไม่มีความเคลื่อนไหวและเมื่อขึ้นสู่ชั้นพิจารณาศาลก็มีแนวโน้มที่จะเข้าใจธรรมชาติของการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต
 
ในปี 2561 การชุมนุมหรือทำกิจกรรรมทางการเมืองยังเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะ แม้คำสั่งหัวหน้า คสช. เรื่องห้ามการชุมนุมจะยังคงถูกบังคับใช้ และเพิ่งถูกยกเลิกในเดือนธันวาคม ตาม ช่วงครึ่งปีแรก "กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง" จัดการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่พยายามสร้างรรยากาศแห่งความกลัวด้วยการตั้งข้อกล่าวหาตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 และข้อหาตามพ.ร.บ.ชุมนุมฯ กับผู้มาร่วมการชุมนุมนับร้อยคน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ร่วมกิจกรรมบางคนแม้จะเคยถูกตั้งข้อกล่าวหาแต่ก็ยังมาร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง
 
ผู้ที่ออกมาแสดงความไม่พอใจหรือแสดงท่าทีแข็งขืนต่อ คสช. ในปี 2561 ไม่ได้มีแค่ "พลเมืองผู้ตื่นตัวทางการเมือง" ซึ่งถูกคสช.มองว่าเป็น "คนหน้าเดิม" หากยังมีกลุ่มศิลปินที่ใช้ความสามารถทางศิลปะสร้างสรรค์ผลงานวิพากษ์วิจารณ์และเสียดสี คสช. ทั้งการทำภาพ Graffiti นาฬิกา, คอนเสริ์ตพังค์ "จะสี่ปีแล้วนะ...ไอ้สัตว์" รวมถึงเพลงแร็พ "ประเทศกูมี" ซึ่งงานศิลปะเหล่านี้ก็ได้ทำหน้าที่สะท้อนความในใจและความอึดอัดของประชาชนที่มีต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน
 
การต่อสู้คดีในชั้นศาล เป็นอีกหนึ่งในแนวรบที่ประชาชนผู้แข็งขืนต่ออำนาจ คสช. ใช้เป็นช่องทางในการยืนยันสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย โดยในขั้นตอนการสืบพยานที่เปิดให้โอกาสจำเลยนำพยานเข้ามาเบิกความในศาลเพื่อต่อสู้คดี จำเลยคดีการเมืองเหล่านี้จะไม่เพียงนำพยานมาแก้ต่างโดยมีเป้าหมายเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดเพียงอย่างเดียว หากแต่จะเบิกความในประเด็นหลักการพื้นฐานด้านสิทธิเสรีภาพ คำเบิกความในชั้นศาลเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำประกาศเจตนารมณ์ต่อสาธารณะ แต่มันยังจะถูกบันทึกในเอกสารของศาลอย่างเป็นทางการและจะเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่จะมีความสำคัญต่อไปในอนาคต
 
 
เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ถูกใช้งานอย่างจริงจังในปีนี้ ช่องทางตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติพิทักษ์สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานก็เปิดกว้างขึ้น ประชาชนหลายกลุ่มที่ถูกละเมิดสิทธิโดย คสช. ก็นำเรื่องไปยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญและผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ใช้อำนาจตามกฎหมายวินิจฉัยยกเลิกประกาศ/คำสั่ง และการกระทำที่ละเมิดสิทธินั้นๆ แม้ว่า จะยังไม่ประสบความสำเร็จดังที่หวัง แต่ก็สร้างบทสนทนาให้ทั้งนักกฎหมายได้นำไปศึกษาต่อ และได้เปิดประเด็นให้สังคมตั้งคำถามต่อการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระเหล่านั้นต่อไป
 
แม้บรรยากาศทางการเมืองในปี 2561 จะขยับไปไกลกว่าบรรยากาศในปี 2557 มากแล้ว แต่ คสช. ก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะใช้เครื่องมือเดิมๆ ในการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นและควบคุมการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนอย่างต่อเนื่อง กฎหมายที่ออกโดย คสช. อีกจำนวนมากยังถูกใช้บังคับอยู่ คดีความอีกหลักร้อยยังรอการพิจารณาทั้งโดยศาลพลเรือนและศาลทหาร อำนาจการควบคุมสื่อมวลชนและการจับประชาชนไปขังในค่ายทหารยังคงจะถูกใช้ก่อน, ระหว่าง และภายหลังการเลือกตั้งในปี 2562 เราจึงยังต้องเดินหน้าเข้าสู่ปีที่ห้าของ คสช. พร้อมกับความท้าทายเช่นเดียวกับที่แบกรับมานานกว่าสี่ปี เพื่อพบเจอกับการเลือกตั้งที่ไม่มีเสรีภาพภายใต้การปิดกั้นสารพัดรูปแบบ และความผันผวนทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นตามมาหลังผลการเลือกตั้งไม่ได้รับการยอมรับ
 
 
อ่านรายละเอียดทั้งหมด
 
 
 
 

 

 

ประเภทรายงาน: