1690 1130 1730 1485 1059 1912 1280 1965 1022 1867 1398 1076 1091 1476 1987 1336 1882 1873 1128 1453 1270 1707 1546 1966 1924 1673 1563 1827 1107 1312 1001 1771 1115 1494 1001 1432 1310 1823 1809 1425 1622 1055 1847 1839 1185 1047 1799 1069 1462 1158 1510 1737 1729 1677 1348 1271 1200 1155 1207 1001 1143 1579 1868 1857 1211 1794 1605 1542 1089 1871 1322 1407 1467 1570 1556 1067 1620 1642 1295 1818 1513 1228 1141 1451 1991 1668 1463 1835 1638 1605 1977 1893 1319 1084 1033 1120 1513 1665 1119 ป้านา ภารกิจต้อนรับประยุทธ์กับคดีทำร้ายเจ้าพนักงาน | Freedom of Expression Documentation Center | ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ

ป้านา ภารกิจต้อนรับประยุทธ์กับคดีทำร้ายเจ้าพนักงาน

13 มีนาคม 2566 ช่วยปลายรัฐบาลประยุทธ์ 2 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกำหนดลงพื้นที่ตรวจราชการที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ในวันนั้นกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับพล.อ.ประยุทธ์ในพื้นที่บางส่วนเตรียมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ตามจุดที่พล.อ.ประยุทธ์มีกำหนดการไปตรวจราชการ ป้านา ประชาชนชาวบ้านโป่งซึ่งเคยออกมาร่วมกิจกรรมเปิดศูนย์ปราบโกงประชามติที่อำเภอบ้านโป่งจนถูกดำเนินคดีเป็นอีกคนหนึ่งที่มารอต้อนรับพล.อ.ประยุทธ์ เพื่อสื่อสารถึงความพอใจต่อผลงานการบริหารประเทศ ทว่า ระหว่างที่รอต้อนรับ เธอก็ถูกเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทำการจับกุมและถูกตั้งข้อกล่าวหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน

2945
 
ป้านาเล่าย้อนกลับไปว่า เธอทราบว่าในวันเกิดเหตุพล.อ.ประยุทธ์มีกำหนดการลงพื้นที่ที่อำเภอบ้านโป่งในช่วงเที่ยง จึงตั้งใจจะไปขอเข้าพบเพื่อบอกเล่าปัญหาการบริหารราชการแผ่นดินของพล.อ.ประยุทธ์ และแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อผลงานการบริหารประเทศ ในเวลาประมาณ 09.00 น.ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ยังไม่เข้ามาในพื้นที่ เธอได้เข้าไปสังเกตการณ์และพักคอยที่บริเวณศาลาประชาคมริมแม่น้ำแม่กลองซึ่งเป็นพื้นที่ที่พล.อ.ประยุทธ์มีกำหนดลงพื้นที่
 
ระหว่างที่ป้านากำลังรอรับพล.อ.ประยุทธ์ มีนักกิจกรรมในพื้นที่แชร์ข้อมูลกันในกลุ่มเฟซบุ๊ก "ลูกบ้านโป่งไม่อินเผด็จการ" ซึ่งเป็นกลุ่มของนักกิจกรรมในพื้นที่ว่าแต่ละคนอยู่ตรงจุดไหน มีนักกิจกรรมหญิงคนหนึ่งแจ้งว่า เธอเตรียมป้ายไปแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในบริเวณที่พล.อ.ประยุทธ์มีกำหนดเดินทางมา แต่ถูกเจ้าหน้าที่ไล่ติดตาม จึงได้หลบมาที่ตลาดบ้านโป่ง เมื่อนักกิจกรรมหญิงคนดังกล่าวทราบว่าป้านาอยู่บริเวณใกล้เคียงกับจุดที่เธอหลบอยู่จึงขอให้ป้านาไปรับ ป้านากังวลถึงความปลอดภัยของนักกิจกรรมรุ่นน้องจึงเดินทางไปพบและอยู่เป็นเพื่อน
 
หลังนักกิจกรรมรุ่นน้องหลบมาอยู่ที่ตลาดได้ไม่นานก็เริ่มมีเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามมา เมื่อพบว่าป้านาอยู่กับนักกิจกรรมรุ่นน้อง ตำรวจก็ถามป้านาทำนองว่าที่เดินทางมามีวัตถุประสงค์อันใด ป้านาจึงตอบไปตามจริงว่าต้องมาพบและพูดคุยกับพล.อ.ประยุทธ์ถึงความไม่พอใจต่อฝีมือการบริหารประเทศ ตำรวจพยายามเกลี้ยกล่อมป้านาว่าหากมีเรื่องร้องเรียนก็สามารถยื่นเรื่องผ่านศูนย์ดำรงธรรมได้ แต่ป้านาก็ยืนยันว่าต้องการรอต้อนรับพล.อ.ประยุทธ์ด้วยตัวเอง เพราะที่ผ่านมาการยื่นเรื่องผ่านศูนย์ดำรงธรรมไม่เคยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใดๆ 
 
ระหว่างที่กำลังรอต้อนรับพล.อ.ประยุทธ์มีคนโทรเข้ามา ป้านาจึงปลีกตัวจากจุดที่เคยอยู่กับนักกิจกรรมไปรับสายโทรศัพท์บริเวณแผงเหล็กซึ่งอยู่ริมถนน หลังคุยโทรศัพท์เสร็จป้านาก็ยังคงยืนเตร็ดเตร่อยู่บริเวณดังกล่าวจนกระทั่งมีตำรวจเดินเข้ามาหาอีกครั้ง
 
ตำรวจพยายามเจรจากับป้านาว่าจุดที่ป้านายืนอยู่ใกล้กับจุดที่รถของพล.อ.ประยุทธ์จะเคลื่อนผ่านมากเกินไปจนอาจเกิดอันตรายกับพล.อ.ประยุทธ์ได้ และพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตหวงห้าม ป้านาจึงแสดงให้ตำรวจดูว่าเธอไม่มีอาวุธใดๆ ไม่มีแม้กระทั่งหนังสือที่เตรียมมายื่น เพราะเธอหวังเพียงได้พูดจาปราศรัยสื่อสารความเดือดร้อนกับพล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น นอกจากนั้น ก็ไม่ได้มีการประกาศว่าพื้นที่ที่เธออยู่เป็นเขตหวงห้ามแต่อย่างใด
 
ระหว่างที่ยืนอยู่ติดกับรั้วเธอสังเกตว่าตำรวจผู้ชายเริ่มถอยห่างออกไปขณะเดียวกันก็มีตำรวจผู้หญิงเข้ามาหาเธอ ตำรวจหญิงคนหนึ่งเข้ามาโอบเธอจากด้านหลังพร้อมปลอบให้เธอใจเย็นๆ แต่ยังไม่ทันที่ป้านาจะตอบโต้อะไรตำรวจคนดังกล่าวก็เอามือปิดปากเธอและจมูกของเธอ ขณะเดียวกันก็มีตำรวจหญิงและตำรวจชายอีกอย่างละนายเข้ามาหาเธอและช่วยกันเอาตัวป้านาออกไปจากพื้นที่ 
 
เนื่องจากถูกปิดปากและจมูกจนหายใจเกือบไม่ออกและเริ่มหน้ามืดป้านาจึงพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดจากการปิดหน้าปิดตาของเจ้าหน้าที่ ท้ายที่สุดป้านาก็ถูกควบคุมตัวออกจากพื้นที่เกิดเหตุและถูกแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดสามข้อหาในวันเดียวกัน ได้แก่ ข้อหาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานฯ ส่งเสียงดังอื้ออึงในที่สาธารณะ และต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานฯ 
 
ต่อมาวันที่ 14 มีนาคม 2566 ป้านาเดินทางไปที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อแจ้งความดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดรักษาความปลอดภัยของ พล.อ.ประยุทธ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันที่ 13 มีนาคมในข้อหา ทำร้ายร่างกาย กักขังหน่วงเหนี่ยว เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ และกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญา 
 
หลังคดีที่ป้านาเป็นจำเลยถูกพิจารณาในชั้นศาล ป้านาสะท้อนความอึดอัดใจว่าศาลดูจะรับฟังและให้น้ำหนักกับคำให้การของฝ่ายโจทก์มากกว่า ซึ่งหากท้ายที่สุดศาลพิพากษาว่าเธอมีความผิด ป้านาก็จะโกนศีรษะประท้วงเพราะเธอเห็นว่าถูกตัดสินให้มีความผิดอย่างไม่เป็นธรรม พร้อมระบุว่า ในวันเกิดเหตุหากเจ้าหน้าที่แค่ล็อคแขนล็อคขาเธอก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาปิดปากปิดจมูกโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยทางสุขภาพของผู้สูงอายุอย่างเธอเลย
 
ท้ายที่สุดก่อนไปฟังคำพิพากษา ป้านาได้แต่หวังจะสื่อสารถึงเจ้าหน้าที่รัฐด้วยว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ควรคำนึงถึงประชาชนด้วยว่ามีเงื่อนไขสุขภาพหรือไม่ อย่าเพียงแต่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อเอาใจนายแล้วใช้ความรุนแรงกับประชาชน ขณะเดียวกันตัวผู้มีอำนาจเองก็ควรตระหนักว่าหากรักที่จะเล่นการเมืองก็ควรรับฟังเสียงทุกด้านไม่ใช่รับฟังแต่เสียงปรบมือแล้วไปปิดปากคนเห็นต่าง
 
หมายเหตุ
 
ในวันที่ 10 ตุลาคม 2566 ศาลแขวงราชบุรีมีคำพิพากษาจำคุก ป้านา เป็นเวลาหกเดือนกับ 10 วัน และให้ปรับเงิน 1,000 บาท โดยไม่ให้รอการลงโทษโทษจำคุก 
 
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานผลคำพิพากษาโดยสรุปได้ว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยเข้าไปในเขตที่จัดไว้ให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยและหวงห้ามเพื่อรักษาความปลอดภัยของนายกฯ บุคคลในขบวนของนายกฯ และประชาชนอื่น ตำรวจผู้มีอำนาจได้แจ้งต่อจำเลยแล้ว โดยจำเลยทราบคำสั่งแล้ว แต่ไม่ปฎิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานโดยไม่มีเหตุสมควร อีกทั้งจำเลยไม่เคยสำนึกในการกระทำความผิด ยืนยันต่อสู้คดีและแจ้งความเอาผิดเจ้าหน้าที่ ไม่เคารพยำเกรงกฎหมาย พฤติการจึงเป็นคดีร้ายแรง หากบังคับกฎหมายไม่จริงจัง อาจมีบุคคลอื่นทำแบบเดียวกัน จึงไม่มีเหตุอันควรรอการลงโทษ
 
หลังศาลมีคำพิพากษา ป้านาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์โดยต้องวางหลักประกันเป็นเงิน 30,000 บาท เมื่อได้รับการปล่อยตัวป้าน้าแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยการโกนศีรษะที่หน้าป้ายศาล พร้อมทั้งเล่าความรู้สึกที่มีต่อคำพิพากษาว่า เท่าที่ฟังดูเหมือนศาลจะให้เอกสิทธิ์กับเจ้าหน้าที่รัฐมากกว่าความรู้สึกนึกคิดของประชาชน ทั้งยังนำเหตุที่เธอไปแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่มาเป็นเหตุในการไม่รอการลงโทษจำคุกของเธอ สำหรับแนวทางคดีเธอยืนยันจะสู้คดีตามสิทธิต่อไป