- เว็บไซต์ไอลอว์
- ศูนย์ข้อมูลฯ
ฐานข้อมูลคดี
Stared
ชื่อคดี
ผู้ต้องหา
เทอดศักดิ์
สถานะคดี
คำอธิบายสถานะคดี ภาษาไทย
ชั้นศาลชั้นต้น
สถานะผู้ต้องหา
ได้รับการประกันตัว
ข้อหา / คำสั่ง
มาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา
เนื้อหาคดีโดยย่อ
หนึ่งในชุดคดีของกลุ่มสพันธรัฐไท ‘สมศักดิ์’ และประพันธ์ ถูกกล่าวหาตามมาตรา 116 และ 209 ของประมวลกฎหมายอาญาจากการสวมเสื้อสีดำที่หน้าอกมีสัญลักษณ์แถบสีขาวแดงขาวที่อาจเชื่อมโยงกับกลุ่มสหพันธรัฐไทที่บริเวณลานหน้าห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2561
พนักงานอัยการศาลอาญา
ข้อกล่าวหา
สร้างความปั่นป่วน กระด้างกระเดื่อง ก่อความไม่สงบ
-
รูปแบบการจำกัดเสรีภาพ
การดำเนินคดี
-
ประเภทสื่อ
โซเชียลเน็ตเวิร์ค, การชุมนุมสาธารณะ
-
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร
-
ศาล
ศาลอาญา
-
หมายเลขคดีดำ
เลขคดีดำคือเลขที่ศาลออกเมื่อประทับรับฟ้องคดี
ชั้นศาล: ศาลอาญา No: อ.1298/2562
ตามคำฟ้องระบุว่า ระหว่างวันที่ 4-5 ธันวาคม 2561 จำเลยกับพวกอีกหลายคนได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน ดังนี้
หนึ่ง จำเลยกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้นำตัวมาฟ้องเป็นสมาชิกของ “องค์การสหพันธรัฐไท” กลุ่มดังกล่าวมีความมุ่งหมายเพื่อต่อต้าน ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านรัฐบาลและต่อต้าน คสช. เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศไทยจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไปเป็นระบอบสหพันธรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ซึ่งเป็นการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์และเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สอง จำเลยกับพวกได้ปลุกระดมสมาชิกและประชาชนทั่วไปผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ชักชวนสมาชิกแนวร่วมและประชาชนทั่วไปให้ต่อต้านล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านรัฐบาลและต่อต้าน คสช. จำเลยทั้งสองกับพวกได้นัดหมายสวมใส่เสื้อดำมีแถบธงขาวแดงติดที่บริเวณหน้าอกด้านซ้ายและมีอักษรสีขาวข้อความภาษาอังกฤษว่า “FEDERATION” อยู่กลางหน้าอกด้านหน้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์การสหพันธรัฐไทเดินในบริเวณห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ซึ่งในวันดังกล่าวประชาชนสวมใส่เสื้อสีเหลือง การกระทำดังกล่าวแสดงออกถึงการต่อต้านพระมหากษัตริย์ อันไม่ใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต ชักจูงให้ประชาชนเกิดความปั่นป่วนและกระด้างกระเดื่อง ทั้งนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นระบอบสหพันธรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข
ขอให้ศาลพิจารณาลงโทษในความผิดฐานยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 และการเป็นอั้งยี่ตามมาตรา 209 ของประมวลกฎหมายอาญา
ตำรวจได้ควบคุมตัว ‘สมศักดิ์’ ในวันที่ 2 เมษายน 2562 และประพันธ์ ในวันที่ 10 เมษายน 2562
นัดสอบคำให้การ
นัดตรวจพยานหลักฐาน
-
นัดสืบพยานโจทก์
เทอดศักดิ์ จำเลยที่หนึ่ง หรือเบียร์ ซึ่งเป็นชื่อเล่นของเทอดศักดิ์ และใช้ชื่อในไลน์ว่า Original Beer ตามด้วยรหัสสมาชิกองค์กรสหพันธรัฐไท โดยภายในกลุ่มไลน์ดังกล่าวมีสายลับของรัฐเข้าไปอยู่คอยสังเกตการ์เก็บข้อมูลด้วย สายลับคนดังกล่าวได้แจ้งข้อมูลต่อพ.ต.ท.แทนว่า สมาชิกในกลุ่มไลน์มีการพูดคุยอวดกัน
วันที่ 5 ธันวาคม 2561 เป็นวันพ่อแห่งชาติ ก่อนหน้านั้นเพียงหนึ่งวันองค์กรสหพันธรัฐไทมีการจัดรายการปลุกระดมให้มวลชนที่อยู่ในประเทศไทยสวมใส่เสื้อดำหรือเสื้อดำที่มีตราสัญลักษณ์ของกลุ่มสหพันธรัฐไทออกไปชุมนุมในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศหรือบริเวณที่ที่มีคนพลุกพล่านตามพื้นที่ที่สมาชิกอาศัยอยู่ ตั้งแต่เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป เพื่อแสดงออกว่า สหพันธรัฐไทมีมวลชนและแสดงออกให้คนรู้จัก กรณีที่มีคนสนใจก็ให้ชักจูงเป็นแนวร่วมในการเคลื่อนไหว อัยการถามพ.ต.ท.แทนว่า เหตุใดเสื้อต้องเป็นสีดำ พ.ต.ท.แทนตอบว่า เนื่องจากวันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันมงคลต้องสวมเสื้อสีเหลืองเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี การที่สมาชิกองค์กรสหพันธรัฐไทสวมเสื้อสีดำเป็นการแต่งตัวให้แตกต่างและแสดงออกให้เจ้าหน้าที่รัฐเห็นว่า กลุ่มนี้ไม่จงรักภักดี ไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องการให้ประเทศปกครองด้วยระบอบสหพันธรัฐ เมื่อทราบเรื่องจึงได้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาให้แจ้งไปยังหน่วยงานความมั่นคง
ต่อมาวันที่ 5 ธันวาคม 2561 เขาได้รับมอบหมายให้ไปสังเกตการณ์ที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ วันดังกล่าวเขาสวมเสื้อสีดำ ติดธงและแฝงตัวไปกับกลุ่มสหพันธรัฐไท เดินทางไปถึงห้างสรรพสินค้าในเวลาเปิดทำการคือ 11.00 น. จากนั้นจึงเดินสังเกตการณ์คนที่ใส่เสื้อดำว่า มีจำนวนเท่าไหร่ เท่าที่เห็นมีประมาณ 20-30 คน ทุกคนสวมเสื้อสีดำ บางคนติดสัญลักษณ์ของกลุ่มสหพันธรัฐไทชัดเจน หลังจากที่มวลชนเริ่มทยอยมารวมตัวกันเยอะขึ้น สังเกตเห็นเทอดศักดิ์ จำเลยที่หนึ่งสวมใส่เสื้อสีดำที่หน้าอกเขียนว่า FEDERATION น่าจะไม่มีกำไลอีเอ็มติดที่ข้อเท้า เดินตามประพันธ์ จำเลยที่สองมา ในการเบิกความพ.ต.ท.แทนมักจะเรียกประพันธ์ว่า ป้าเปีย
ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า ในตอนที่พ.ต.ท.แทนทำการสืบทวนไม่พบคำพูดของเทอดศักดิ์ที่มีลักษณะเป็นการปลุกระดมหรือมีการใช้อาวุธใช้หรือไม่ พ.ต.ท.แทนรับว่า ใช่ ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า ไม่ปรากฏว่า เทอดศักดิ์ จำเลยที่หนึ่งเป็นผู้นัดแนะหรือปลุกระดมให้มาร่วมกิจกรรม และกลุ่มไลน์ที่พ.ต.ท.แทนเบิกความถึงก็เป็นกลุ่มปิด ไม่ได้เปิดเป็นสาธารณะใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ใช่ ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า พ.ต.ท.แทนไม่ได้มีการถอดเทปการพูดคุยในกิจกรรมแสดงออกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนรับว่า ใช่ ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า จากการสืบสวนไม่พบว่า เทอดศักดิ์เคยถูกกล่าวหาในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พ.ต.ท.แทนรับว่า ใช่ ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า ภายในองค์กรสหพันธรัฐไทไม่ได้มีการมอบหมายหน้าที่กันอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ได้มีบทลงโทษหากไม่กระทำการใด พ.ต.ท.แทนตอบว่า มีในทางลับ ทนายจำเลยที่หนึ่งถามซ้ำว่า ไม่ได้มีการชี้เฉพาะเจาะจงใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบซ้ำอีกครั้งว่า เท่าที่เฝ้าติดตามฟังไม่มี แต่ในทางลับมี ศาลบันทึกว่า ทราบว่า มีการมอบหมายหน้าที่ในทางลับ
ทนายจำเลยที่สองถามค้าน
ทนายจำเลยที่สองถามว่า วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสหพันธรัฐไทใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ใช่ และอธิบายต่อว่า วุฒิพงศ์หรือที่ใช้ชื่อว่า สหายหมาน้อย มีการจัดรายการอยู่ช่วงหนึ่งทางยูทูป จากนั้นชูชีพได้จัดรายการเป็นหลัก ทนายจำเลยที่สองถามว่า ทราบหรือไม่ว่า ปัจจุบันวุฒิพงศ์ หรือโกตี๋ หายตัวไป พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่รู้ ไม่ได้ติดตามต่อเพราะหน้าที่ของเขาคือการติดตามการจัดรายการ เมื่อเขาไม่ได้จัดรายการก็ไม่รู้ความเคลื่อนไหวต่อแล้ว ทนายจำเลยที่สองถามว่า ประพันธ์มีการติดต่อกับวุฒิพงศ์หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่มี ทนายจำเลยที่สองถามว่า ชูชีพเป็นผู้ก่อตั้และสมาชิกสหพันธรัฐไทใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ใช่ ทนายจำเลยที่สองถามว่า พบว่า ชูชีพมีการจัดรายการมาตั้งแต่ปี 2560-2562 ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า เท่าที่ติดตามปี 2561 ยังมีการจัดรายการอยู่ ทนายจำเลยที่สองถามว่า หลังจากวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ยังได้มีการติดตามอีกหรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ได้มีการติดตาม ส่วนประพันธ์ จะมีการติดต่อกับชูชีพด้วยช่องทางการสื่อสารอื่นด้วยหรือไม่ เขาก็จำไม่ได้
พ.ต.ท.แทนเบิกความยืนยันว่า ประพันธ์มีการโฟนอินเข้าไปในรายการจริง ทนายจำเลยที่สองถามว่า จำได้หรือไม่ว่า พูดว่าอะไร พ.ต.ท.แทนตอบว่า ยืนยันว่า ประพันธ์มีการโฟนอินเข้าในรายการจริง ย้ำด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังว่า “นั่งฟังอยู่ ได้ยินกับหูตัวเอง” ทนายจำเลยที่สองถามว่า แนะนำตัวด้วยชื่อตัวเองไหม พ.ต.ท.แทนตอบว่า “โดยหลักคนไม่มีคนบ้าที่ไหนไปตัวเองหรอก” ทนายจำเลยที่สองถามว่า มีหลักฐานใดที่เชื่อมโยงว่า ประพันธ์เป็นผู้โฟนอิน พ.ต.ท.แทนตอบว่า “หลักฐานอยู่ที่การพูดคุย ฟังแล้วก็รู้ว่า เป็นประพันธ์” ทนายจำเลยที่สองถามย้ำอีกครั้งว่า มีหลักฐานใดที่เชื่อมโยง พ.ต.ท.แทนตอบว่า สายลับแจ้งว่า ประพันธ์พูด เรามาฟังดูก็ใช่” ทนายจำเลยที่สองถามว่า หมายถึงอย่างไร ฟังแล้วจำเสียงได้เลยใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ประพันธ์มีการโฟนอินและสมาชิกในกลุ่มไลน์มีการพูดถึง
ทนายจำเลยที่สองถามว่า พ.ต.ท.แทนมีชื่อชั้นยศของสายลับที่อ้างถึงหรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า จำไมได้ว่า ชื่ออะไร ทนายจำเลยที่สองถามว่า สายลับได้ส่งรายละเอียดข้อความที่กลุ่มไลน์คุยกันให้หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า สายลับส่งให้ แต่ไม่ได้ส่งรายละเอียดดังกล่าวให้แก่พนักงานสอบสวนเพราะไลน์ลบข้อมูลในโทรศัพท์ไป พ.ต.ท.แทนย้ำว่า “ไลน์มันลบไปเอง ระบบลบเอง มันเยอะ ระบบไลน์เป็นผู้ลบเอง” ทนายจำเลยที่สองถามว่า พ.ต.ท.แทนได้แคปหรือถ่ายภาพหน้าจอไว้หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ได้แคปเนื่องจากว่าเป็นความลับ ทนายจำเลยที่สองถามว่า พ.ต.ท.แทนมีการรายงานเรื่องดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชาหรือไม่และผู้บังคับบัญชามีชื่อชั้นยศใด พ.ต.ท.แทนตอบว่า มีการรายงานต่อผู้บังคับบัญชา แต่จำชื่อไม่ได้เพราะมีการโยกย้ายตำแหน่งหลายครั้งในรอบสองปีที่ผ่านมา
ทนายจำเลยที่สองถามว่า เวลาจัดรายการของสหพันธรัฐไทจะมีแต่เสียงไม่มีภาพใช่หรือไม่ พ.ต.แทนตอบว่า ในรายการมีแต่เสียงแต่พอเสียงมาจะทราบเลยว่า เป็นใคร ทนายจำเลยที่สองถามว่า ในการประกาศให้มวลชนที่อยู่ในประเทศกระทำการใดๆ เป็นการประกาศอย่างเปิดเผย ส่วนมวลชนจะกระทำตามหรือไม่ ไม่มีการตรวจสอบย้อนกลับใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า เมื่อมีการปลุกระดม มวลชนจะมีการจัดกิจกรรมและถ่ายภาพไปโพสต์ในไลน์กรุ๊ป ในทำนองที่ว่า แกนนำจะทราบได้ว่า มวลขนทำกิจกรรมหรือไม่ ทนายจำเลยที่สองถามว่า การแจกใบปลิวเป็นการปลุกระดมของชูชีพใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ใช่ ทนายจำเลยที่สองถามว่า การออกมาจัดกิจกรรมที่ห้างเดอะมอลล์บางกะปิเกิดจากชูชีพด้วยใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า “การปลุกระดมก็นเป็นส่วนหนึ่ง คนที่มีสติสัมปชัญญะก็ถือเป็นแนวร่วม ก็ถือว่าออกมาเองนั่นแหละ”
ทนายจำเลยที่สองถามถึงการใช้สัญลักษณ์เป็นเสื้อสีดำ พ.ต.ท.แทนตอบในทำนองว่า มีการกำหนดให้ใช้เสื้อสีดำเพราะเป็นสีที่ตรงข้ามกับความจงรักภักดี ทนายจำเลยที่สองถามว่า การใช้เสื้อสีดำเป็นการใช้ตั้งแต่ก่อนวันที่ 5 ธันวาคม 2561 แล้วใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนรับว่า ใช่ แต่คนปกติมีสามัญสำนึกจะไม่ใส่ ทนายจำเลยที่สองให้พ.ต.ท.แทนดูภาพว่า ในวันดังกล่าวมีบุคคลอื่นๆ ใส่เสื้อสีดำด้วย แต่พ.ต.ท.แทนตอบว่า มันเป็นภาพระยะไกล มองเห็นไม่ชัดเจน ทนายจำเลยที่สองถามว่า ไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า ให้สวมใส่เสื้อสีเหลืองในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ทางการแต่มีการเชิญชวนให้คนสวมใส่เสื้อสีเหลือง ศาลขอให้ทนายจำเลยที่สองผ่านคำถามนี้ไป
ทนายจำเลยที่สองถามว่า ได้มีการบันทึกหลักฐานในการพูดคุยไว้หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า บันทึกภาพและเสียงไว้เพื่อส่งและรายงานต่อผู้บังคับบัญชา แต่ไม่ได้ส่งไฟล์เสียงของประพันธ์ให้แก่พนักงานสอบสวน ทนายจำเลยที่สองถามว่า ทราบหรือไม่ว่า มีการจับกุมในที่เกิดเหตุ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ทราบ และหลังจากวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ก็ไม่ได้มีการติดตามตัวประพันธ์ต่อแล้ว
พยานโจทก์ปากที่สอง พ.ต.ท.เสวก บุญจันทร์ กองกำกับการหนึ่ง กองบังคับการปราบปราม
พ.ต.ท.เสวกเบิกความว่า ที่เกี่ยวข้องมาเป็นพยานในคดีนี้เนื่องจากว่า พนักงานสอบสวนในคดีนี้เรียกเขามาให้ปากคำเนื่องจากเขาเคยเป็นพนักงานสอบสวนในคดีที่เกี่ยวกับสหพันธรัฐไทมาก่อน ในการสอบปากคำพนักงานสอบสวนให้เล่าว่า เรื่องราวของสหพันธรัฐไทและจำเลยแต่ละคนทำหน้าที่อะไร ช่วงเดือนสิงหาคม 2561 เขาได้รับมอบหมายให้สืบสวนคดีสหพันธรัฐไท ซึ่งจำเลยในคดีนี้ทั้งสองคนเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวด้วย โดยเป็นคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ 209 พฤติการณ์ของเทอดศักดิ์ จำเลยที่หนึ่งคือ เป็นแนวร่วมกับองค์กรสหพันธรัฐไท แจกใบปลิวที่มีเผยแพร่เนื้อหาแนวคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นระบอบสหพันธรัฐไทที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์
พ.ต.ท.เสวกเบิกความต่อว่า คดีที่เขาเป็นพนักงานสอบสวนเขามีความเห็นสั่งฟ้อง สืบพยานเสร็จแล้ว รอฟังคำพิพากษาอยู่
พยานโจทก์ปากที่สาม มะสูดี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
เวลาประมาณ 14.00 น. ตำรวจและทหารได้เชิญตัวจำเลยทั้งสองไปพูดคุย โดยพาไปที่รถของตำรวจที่จอดอยู่ด้านหน้าห้างฯ เขาเข้าใจว่า ตำรวจน่าจะพาจำเลยทั้งสองไปพูดคุยที่สน.ลาดพร้าว ส่วนกลุ่มคนเสื้อดำที่เหลือทราบว่า ตำรวจได้ขอดูบัตรประชาชนและใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพไว้
ทนายจำเลยถามค้าน
-
9 มีนาคม 2563
นัดฟังคำพิพากษา
เห็นว่า แม้การกระทำของจำเลยทั้งสองในคดีนี้เป็นความผิดที่เกิดขึ้นคนละช่วงเวลากับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3157/2561 แต่จำเลยทั้งสองยังคงความเป็นสมาชิกขององค์กรสหพันธรัฐไทถือเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน เป็นความผิดกรรมเดียว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า วันที่ 21 มกราคม 2563 ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 3157/2561 ไปก่อนแล้ว ดังนั้นสิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปคือ จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 หรือไม่
วันที่ 4 ธันวาคม 2561 ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ หรือลุงสนามหลวงได้จัดรายการบนเว็บไซต์ยูทูป ชักชวนให้คนสวมเสื้อดำในห้างสรรพสินค้าหรือสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 เวลา 13.00 น. พ.ต.ท.แทนจึงแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่อมาวันที่ 5 ธันวาคม 2561 พบจำเลยที่หนึ่งสวมเสื้อดำ จำเลยที่สองสวมเสื้อดำติดโบว์เล็กๆสีขาวแดง พ.ต.ท.แทนเบิกความว่า ได้ยินจำเลยที่สองกล่าวว่า พวกเราเป็นสมาคมสหพันธรัฐไท
โจทก์ยังมีร.ต.อ.อนันต์ ศรีเนตร รองสารวัตรสืบสวน สน.ลาดพร้าวมาเบิกความว่า ได้รับหนังสือด่วนจากนครบาลว่า ในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 จะมีกลุ่มสหพันธรัฐไทมารวมตัวกัน จึงเข้าตรวจสอบในเพจเฟซบุ๊กพบว่า มีการให้ข้อมูลว่าจะนัดรวมตัวกันแต่ไม่ได้บอกสถานที่ อย่างไรก็ตามการข่าวบอกว่า จะมาที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ เมื่อไปถึงพบว่า จำเลยที่หนึ่งสวมใส่เสื้อดำมีตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนว่า FEDERATION และจำเลยที่สองสวมใส่เสื้อดำ มีริบบิ้นสีขาวแดงติดด้วย มีกำไลอีเอ็มอยู่ที่ข้อเท้า และได้ยินคำพูดในลักษณะล้มล้างการปกครอง แต่มีความรุนแรงน้อยกว่าที่พบในเพจเฟซบุ๊ก
นอกจากนี้โจทก์ยังมีมะสูดี และอัศวเมธพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างที่เบิกความทำนองเดียวกันว่าเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2561 เวลา 13.00 น. มีบุคคลสวมเสื้อดำมารวมกลุ่มกันที่หน้าห้าง บ้างติดสัญลักษณ์ บ้างไม่ติด ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ออกไปพูดคุยกับกลุ่มคนเสื้อดำที่รวมตัวกันหน้าร้านแมคโดนัลด์ ก่อนที่จำเลยที่หนึ่งจะเดินข้ามสะพานลอยเพื่อซื้อน้ำดื่มมาแจกจ่ายให้กลุ่มคนเสื้อดำ
เห็นว่า พยานโจทก์ปากพ.ต.ท.แทนและร.ต.อ.อนันต์เบิกความว่า จำเลยทั้งสองกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พยานไม่ได้รู้จักกับจำเลยทั้งสองมาก่อนและทราบว่า [จำเลยทั้งสอง] อาจมีเหตุมิชอบเกี่ยวกับความมั่นคง ย่อมต้องแสวงหาพยานหลักฐานในการกระทำความผิด แต่ในทางนำสืบไม่ปรากฏว่า โจทก์จะแสดงหลักฐานหรือปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งสองได้กล่าวในทำนองเช่นนั้นจริง พิพากษายกฟ้อง