- เว็บไซต์ไอลอว์
- ศูนย์ข้อมูลฯ
ฐานข้อมูลคดี
Stared
ชื่อคดี
ผู้ต้องหา
โอภาส
สถานะคดี
คำอธิบายสถานะคดี ภาษาไทย
ตัดสินแล้ว / คดีถึงที่สุด
สถานะผู้ต้องหา
ครบกำหนดโทษ
ข้อหา / คำสั่ง
มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา
เนื้อหาคดีโดยย่อ
ภูมิหลังผู้ต้องหา
พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์
ข้อกล่าวหา
หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาท
-
รูปแบบการจำกัดเสรีภาพ
การดำเนินคดี
-
ประเภทสื่อ
อื่นๆ
-
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร
-
ศาล
ศาลทหารกรุงเทพ
-
หมายเลขคดีดำ
เลขคดีดำคือเลขที่ศาลออกเมื่อประทับรับฟ้องคดี
No: 11ก./2558 วันที่: 2015-01-09 -
หมายเลขคดีแดง
คำอธิบายดคีแดง ภาษาไทย
No: 99ก./2558 วันที่: 2015-03-20
คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยสรุป
คดีได้ความตามฟ้องโจทก์ประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลยฟังได้ว่า จำเลยเป็นบุคคลพลเรือนได้กระทำผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 อันเป็นความผิดที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติประกาศให้เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลทหาร เพื่อให้การรักษาความสงบและการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตามประกาศคสช.ฉบับที่ 37/2557 ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2557
จำเลยได้กระทำผิดกฎหมาย กล่าวคือ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2557 เวลากลางวัน อันเป็นเวลาที่อยู่ระหว่างการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร จำเลยได้บังอาจหมิ่นประมาท และดูหมิ่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อบุคคลที่สาม โดยจำเลยได้ใช้ปากกาเขียนข้อความที่บานประตูห้องน้ำชายชั้นสอง ของห้างซีคอนสแควร์ สาขา ศรีนครินทร์ โดยมีข้อความว่า "รัฐบาลเหล่ ลิเก ปล้นชาติมาโดยแว้นควาย เหล่ ประยุทธ์ ออกนโยบายลิเก มือใหม่ งานหลักคือ โหนเจ้า (xxxx) อาวุธสำคัญ คือ มาตรา 112 โถ่ ไอ้หน้าเหี้ย! ดูหน้ามึงทุกวันนี้ มันบอกว่าใกล้จุดจบ เริ่มทะเลาะกันเองแล้วจ้า" ซึ่งข้อความดังกล่าว (iLaw-มีข้อความในวงเล็บที่ไม่อาจเผยแพร่ได้) ทำให้ร.ต.คำภา โหม่งพุฒ, นายเทพพนม ครุฑทากูล และนายกฤษณะ กองเกตุใหญ่ ซึ่งเป็นบุคคลที่สามหรือประชาชนทั่วไปที่ได้อ่านข้อความดังกล่าวแล้วสามารถเข้าใจโดยรวมว่า หมายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน
ข้อความดังกล่าวทำให้คุณค่าของพระองค์ท่านลดต่ำลง และทำให้พระองค์ท่านเสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง โดยเจตนาจะทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะ อันเป็นการล่วงละเมิดต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จทั้งสิ้น เพราะความจริงแล้ว พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละมิดมิได้ และทรงอยู่เหนือการเมือง ทั้งมิได้ยุ่งเกี่ยวในทางการเมืองแต่อย่างใด หากแต่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจมากมายอันทรงคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
จึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน (ฉบับที่ 41) ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 1. ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอันเป็นเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ลดโทษลงกึ่งหนึ่ง คงให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี 6 เดือน
ตามที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้ลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษจำคุก พร้อมทั้งแนบหนังสือรับรองความประพฤติของจำเลยและเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาด้วยนั้น ศาลได้พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งการกระทำผิดของจำเลยแล้วเห็นว่า เป็นการล่วงละเมิดต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งประชาชนเคารพเทิดทูนจึงเป็นการกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนอย่างร้ายแรง ยังไม่มีเหตุผลสมควรที่จะรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย ประกอบกับศาลได้ลงโทษจำเลยในสถานเบาอยู่แล้ว จึงให้ยกคำขอของจำเลยในส่วนที่ขอให้รอการลงโทษ ปากกาของให้ริบ
เหตุแห่งคดีนี้เกิดระหว่างมีประกาศกฎอัยการศึก คำพิพากษาของศาลทหารกรุงเทพจึงถือเป็นที่สุด จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์
ระหว่างรับโทษในคดีแรก โอภาสถูกฟ้องคดี 112 เพิ่มเติมเป็นคดีที่สอง ดูรายละเอียดคดที่สองได้ โดยคลิกที่นี่