1780 1017 1221 1532 1444 1676 1084 1275 1487 1501 1473 1854 1530 1789 1583 1484 1300 1982 1042 1097 1279 1066 1602 1384 1828 1817 1778 1664 1565 1784 1933 1511 1771 1754 1005 1300 1625 1648 1709 1316 1918 1838 1804 1002 1955 1515 1054 1119 1518 1639 1725 1808 1306 1575 1487 1552 1023 1098 1892 1194 1888 1734 1736 1768 1727 1777 1345 1800 1039 1667 1266 1930 1608 1116 1130 1346 1021 1960 1934 1010 1133 1111 1372 1130 1287 1937 1015 1843 1896 1122 1270 1042 1549 1048 1730 1143 1847 1342 1166 วิวัฒนาการของ “กฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์” ในรอบ 200 ปี ตามบริบทสังคมการเมือง | Freedom of Expression Documentation Center | ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ

วิวัฒนาการของ “กฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์” ในรอบ 200 ปี ตามบริบทสังคมการเมือง

ปัจจุบันแทบไม่มีใครไม่รู้จักกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือ กฎหมาย “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ” หรือที่บางคนเคยเรียกว่า “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” กฎหมายมาตรานี้เป็นกฎหมายพิเศษที่คุ้มครองชื่อเสียงเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

ในประวัติศาสตร์ทั้งก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง บุคคลในสถาบันพระมหากษัตริย์มีอิทธิพลต่อการเมืองไทยเป็นอย่างมากและต่อเนื่องมายาวนานยาวนาน กฎหมายดังกล่าวจึงไม่อาจแยกออกจากบริบททางประวัติศาสตร์การเมืองไทยแต่ละยุคสมัยได้ วิวัฒนาการของกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์พอจะเห็นรูปธรรมได้จากการกำหนดความผิดและโทษ การแก้ไขเพิ่มเติม และกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจากคดีความที่เกิดขึ้นจริง

 

ยุคการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475

ในยุคนี้พระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของอำนาจรัฐ พระมหากษัตริย์กับรัฐจึงเป็นเสมือนสิ่งๆ เดียวกันโดยพระมหากษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายทั้งปวงในฐานะผู้เป็นบ่อเกิดแห่งความความยุติธรรมในรัฐ ตามคติว่าด้วยสมมติเทพและธรรมราชา[1]โดยเฉพาะในสมัยรัตนโกสินทร์ การละเมิดต่อชื่อเสียงเกียรติยศของพระมหากษัตริย์จึงเท่ากับเป็นการละเมิดกฎหมายสูงสุดหรือทำลายความมั่นคงของรัฐ

 

กฎหมายตราสามดวง

กฎหมายตราสามดวง ตราขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จากการชำระกฎหมายต่างๆ ในสมัยอยุธยา กฎหมายตราสามดวงกำหนดความผิดที่กระทำต่อพระมหากษัตริย์ไว้จำนวนมาก โดยเฉพาะในพระอัยการอาชญาหลวง มาตรา 7 ได้บัญญัติความผิดฐานเจรจาหยาบช้าต่อพระเจ้าอยู่หัวและประมาทหมิ่นพระราชบัญญัติและพระบันทูลโองการ เอาไว้ ความว่า

           “ผู้ใดทะนงองอาจ์บ่ยำบ่กลัว เจรจาหยาบช้าต่อพระเจ้าอยู่หัวประมาทหมิ่นพระราชบัญญัติ แลพระบันทูลพระโองการ ท่านว่าผู้นั้นเลมิดพระราชอาญาพระเจ้าอยู่หัว ท่านให้ลงโทษ 8 สถาน ๆ หนึ่งคือให้ฟันฅอริบเรือน ให้ตัดปากตัดหูตัดมือตัดตีนเสีย ให้ทวนด้วยลวดหนัง 25 ที 50 ที ให้จำไว้เดือนหนึ่ง แล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง ให้ไหมจัตุระคูน แล้วเอาตัวลงเปนไพร่ ให้ไหมทวีคูน ให้ไหมลาหนึ่ง ให้ภาคทัณท์ไว้”

มาตรา 72 ความผิดฐานติเตียนนินทาว่ากล่าวพระเจ้าอยู่หัว ความว่า

            “ถ้าผู้ใดติเตียนนินทาว่ากล่าวพระเจ้าอยู่หัวต่างต่าง พิจารณาเปนสัจ ให้ลงโทษ 3 สถานๆ หนึ่งคือ ให้ฟันฅอริบเรือน ให้ริบเอาสิ่งสีนแล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง ให้ทวนด้วยลวดหนังโดยสกัน 50 ที มิสกัน 25 ที”

และมาตรา 58 ความผิดฐานด่าผู้มีบรรดาศักดิ์ ความว่า

            “..ด่าท่านผู้มิบันดาศักดิ ท่านให้ลงโทษ 4 สถาน สถานหนึ่งคือ ให้แหวะปากลงโทษถึงสิ้นชีวิตร ให้ตัดปากเสีย ให้ทวนด้วยลวดหนัง 50 ที ไม้หวาย 25 ที ให้ไหมโดยยศถาศักดิ”

อย่างไรก็ตาม[2] ลักษณะและโทษของการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ไม่ได้กินความหมายเพียงในมาตราดังกล่าวเท่านั้นแต่ยังปรากฏในบทบัญญัติอื่นๆกว่า 100 มาตราที่คุ้มครองการล่วงละเมิดต่อกษัตริย์ในด้านต่างๆ เช่น การมิได้ใช้ราชาศัพท์อันควร การโจมตีข้าราชการของกษัตริย์ หรือการกระทำใดๆต่อสัญลักษณ์ของกษัตริย์ เป็นต้น

ลักษณะของกฎหมายเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงสังคมระบบศักดินาซึ่งจัดแบ่งชนชั้นของบุคคลในยุคสมัยดังกล่าว ซึ่งระบบศักดินายังส่งผลต่อการนิยามความผิดและกำหนดบทลงโทษด้วย เช่น การนำศักดินามาใช้ในการคำนวณปรับไหม และการถือสิทธิพิเศษทางการศาล[3]เป็นต้น

 

พระราชกำหนดลักษณะหมิ่นประมาทด้วยการพูดฤาเขียนถ้อยคำเท็จออกโฆษณาการ ร.ศ.118

ต่อมาเนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ 3 และ 4 การสื่อสารในรูปแบบเขียนและการพิมพ์เริ่มแพร่หลายในหมู่ประชาชน มีการแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์การบริหารราชการบ้านเมืองหรือความประพฤติของข้าราชการ จึงมีการปรับปรุงกฎหมายเสียใหม่ให้เป็นระบบและมีอารยะมากขึ้น นำไปสู่การประกาศใช้ พระราชกำหนดลักษณะหมิ่นประมาทด้วยการพูดฤาเขียนถ้อยคำเท็จออกโฆษณาการ ร.ศ.118 ในสมัยรัชกาลที่ 5

พระราชกำหนดนี้ ระบุความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ไว้ในมาตรา 4 ความว่า

            “ผู้ใดหมิ่นประมาทพระผู้เปนเจ้าซึ่งดำรงสยามรัฐมณฑลฤาสมเด็จพระอรรคมเหษีฤาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชก็ดี…โดยกล่าวเจรจาด้วยปาก ฤาเขียนด้วยลายลักษณอักษร ฤากระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในที่เปิดเผยท่ามกลางประชุมชนทั้งหลาย ด้วยกายวาจาอันมิบังควรซึ่งเป็นที่ แลเห็นได้ชัดว่าเปนการหมิ่นประมาทแท้ …ให้จำคุกไว้ไม่เกินกว่า 3 ปี ฤาให้ปรับเปนเงินไม่เกินกว่า 1500 บาท ฤาทั้งจำคุกแลปรับด้วย…”

กฎหมายนี้ก็ยังคงรักษาลำดับชนชั้นในสังคมและวัฒนธรรมจากกฎหมายตราสามดวงเอาไว้ และข้อหาหมิ่นหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ถูกทำให้มีความหมายที่เคร่งครัดมากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือการบริหารงานของราชการก็ยังคงถูกตีความว่าเป็นการหมิ่นประมาทกษัตริย์ได้เช่นกันและไม่มีการกำหนดบทยกเว้นความผิดหรือโทษแต่อย่างใด

 

กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127

ด้วยกระแสรัฐสมัยใหม่จากตะวันตก ในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงมีการปฏิรูปกฎหมายและศาลนำไปสู่การประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 ซึ่งมีการเพิ่มโทษฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ให้สูงขึ้นด้วย กฎหมายนี้ กำหนดความผิดฐานประทุษร้ายต่อพระบรมราชตระกูลไว้ในส่วนที่ 1 มาตรา 98 ความว่า

            “ผู้ใดทนงองอาจ แสดงความอาฆาฎมาดร้ายหรือหมิ่นประมาทต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระมเหษีก็ดี มกุฎราชกุมารก็ดี ต่อผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในเวลารักษาราชการต่างพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี ท่านว่าโทษของมันถึงจำคุกไม่เกินกว่าเจ็ดปี แลให้ปรับไม่เกินกว่า ห้าพันบาท อีกโสดหนึ่ง”

และมาตรา 100 ความว่า

            “ผู้ใดทนงองอาจ แสดงความอาฆาฎมาดร้ายหรือหมิ่นประมาทต่อพระราชโอรส พระราชธิดา ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ว่ารัชกาลหนึ่งรัชกาลใด ท่านว่าโทษของมันถึงจำคุกไม่เกินสามปี แลให้ปรับไม่เกินกว่าสองพันบาทด้วยอีกโสดหนึ่ง”

นอกจากนี้ยังมีการกำหนดความผิดจากการทำให้เกิดการดูหมิ่นและขาดความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ในหมวด 2 ว่าด้วยความผิดฐานกบฎภายในพระราชอาณาจักรมาตรา 104 ไว้ด้วย ความว่า

            “ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่คนทั้งหลาย ด้วยประการใดใด โดยเจตนาต่อผลอย่างหนึ่งอย่างใด ที่ว่าต่อไปในมาตรานี้ คือ (1) เพื่อจะให้ขาดความจงรักภักดีหรือดูหมิ่น ต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี ต่อรัฐบาลก็ดี หรือต่อราชการแผ่นดินก็ดี…ท่านให้เอามันผู้กระทำการอย่างใดใดโดยเจตนาเช่นว่ามานี้ ลงอาญาจำคุกไม่เกินกว่าสามปี แลให้ปรับไม่เกินกว่าพันบาทด้วยอีกโสตหนึ่ง”

ซึ่งต่อมาในพ.ศ. 2470 ปลายสมัยรัชกาลที่ 7 มีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาคอมมิวนิสต์ จึงแก้ไขเพิ่มเติมใน (1) เป็นให้การสั่งสอนทฤษฎีการเมืองหรือเศรษฐกิจเพื่อให้บังเกิดความเกลียดชังดูหมิ่นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือเกิดความเกลียดชังระหว่างชนชั้น เป็นความผิด มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

จะเห็นได้ว่ากฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 ให้ความคุ้มครองอย่างกว้างขวางกว่ากฎหมายฉบับก่อนๆ และมีการเพิ่มคำว่าแสดงความอาฆาตมาดร้ายเข้ามาเป็นครั้งแรกด้วย[4]

ข้อสังเกต คือ นิยามของความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ในช่วงการเปลี่ยนสยามสู่ความเป็นรัฐสมัยใหม่ตั้งแต่ช่วงรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา จากเดิมที่อ้างอิงอำนาจความชอบธรรมอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติได้เคลื่อนไปสู่การอ้างอิงหรือผูกสถาบันกษัตริย์ฯ เข้ากับความเป็นชาติไทย ความเป็นชาติที่แท้จริงจึงเท่ากับการจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ส่งผลให้การดูหมิ่นกษัตริย์เท่ากับเป็นการดูหมิ่นอำนาจของผู้คนภายในชาติที่มอบให้กษัตริย์ไว้ด้วย

 

พระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ.2470

ขณะเดียวกันในภาวะสังคมที่เทคโนโลยีและสื่อสิ่งพิมพ์ที่แพร่หลายต่อสาธารณะมากขึ้น สื่อจึงกลายเป็นพื้นที่ช่วงชิงการอธิบายความเป็นชาติ[5] แบบใหม่ที่ชาติเป็นของราษฎรโดยกษัตริย์ในฐานะผู้ปกครองประเทศตกเป็นเป้าหมายในการแสดงความคิดเห็นโดยตรง ซึ่งมีการต่อสู้กลับโดยใช้ข้อหาหมิ่นฯ

ในสมัยรัชกาลที่ 6 จึงมีการออกพระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ.2465 มาตรา 5 กำหนดให้บทประพันธ์ที่มีจุดมุ่งหมาย เพื่อจะยุยงให้กระทำความผิดฐานประทุษร้ายต่อพระเจ้าอยู่หัวและราชอาณาจักรเป็นบทประพันธ์ประเภท “เสี้ยนหนามแผ่นดิน” ซึ่งเป็นความผิดกำหนดโทษกรณี “…เมื่อได้พิมพ์ขึ้นในกรุงสยาม…ผู้ประพันธ์บรรณาธิการและเจ้าของ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 5,000 บาทหรือทั้งจำและปรับทั้งสองสถาน” 

ต่อมาในพ.ศ. 2470 มีการออกเป็นกฎหมายฉบับใหม่กำหนดคำว่าเสี้ยนหนามแผ่นดินในมาตรา 6(5) ว่าคือบทประพันธ์ “..อันมีความมุ่งหมายทางตรงหรือทางอ้อม คือโดยอนุมานก็ดีแนะก็ดี กล่าวกระทบก็ดีกล่าวเปรียบก็ดี โดยปริยายหรือประการอื่นก็ดี เพื่อจะ ให้เกิดความเกลียดชังหรือดูหมิ่นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฤารัฐบาล ฤาราชการแผ่นดิน…”

 

 

319

ภาพจาก archer10 (Dennis)

 

ยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

24 มิถุนายน 2475 เกิดการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบรูณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยโดยคณะราษฎรที่ยืนยันว่าอำนาจสูงสุดในรัฐเป็นของประชาชน ตำแหน่งพระมหากษัตริย์จึงเปลี่ยนสถานะจากเจ้าของอำนาจรัฐผู้อยู่เหนือกฎหมายไปสู่ตำแหน่งประมุขของรัฐ เป็นองค์กรหนึ่งของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่จำกัดภายใต้รัฐธรรมนูญ

แม้จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแล้ว แต่กฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ตามกฎหมายลักษณะอาญาฯ ยังคงดำรงอยู่ต่อเนื่องมา และถูกใช้ในฐานะเป็นกฎหมายที่คุ้มครองชื่อเสียงเกียรติยศพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐซึ่งรวมถึงสมเด็จพระมเหษี มกุฎราชกุมาร และผู้สำเร็จราชการแผ่นดินด้วย

ในรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 ยังบัญญัติให้“องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” ซึ่งหลักการนี้ส่งผลต่อการขยายขอบเขตในการตีความความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ในเวลาต่อมา[7] และความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ยังคงผูกโยงเข้ากับความผิดต่อความมั่นคงของรัฐเช่นเดียวกับในระบอบเก่า

 

แก้ไขกฎหมายลักษณะอาญา ลดโทษและกำหนดบทยกเว้นความผิด

ในปี พ.ศ.2478 รัฐสภา ยกเลิกมาตรา 100 ของกฎหมายลักษณะอาญาฯ ที่กำหนดความผิดฐานหมิ่นประมาทต่อพระราชโอรส พระราชธิดา เป็นพิเศษ ทั้งนี้ตามหลักความเสมอภาคของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ2475ในขณะนั้นซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลย่อมเสมอภาคกันในทางกฎหมาย ฐานันดรศักดิ์ โดยกำเนิดก็ดี โดยแต่งตั้งก็ดี หรือโดยประการอื่นก็ดี ไม่กระทำให้เกิดเอกสิทธิอย่างใดเลย”

ต่อมา ในปีพ.ศ.2477 มีการแก้ไขในมาตรา 104 (1) ของประมวลกฎหมายลักษณะอาญาฯ เป็นว่า “ผู้ใดกระทำการให้ปรากฏแก่คนทั้งหลายด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร หรือเอกสารตีพิมพ์ หรือด้วยอุบายอย่างใดๆ ดังต่อไปนี้ ก) ให้เกิดความดูหมิ่นต่อพระมหากษัตริย์ หรือรัฐบาล หรือข้าราชการแผ่นดินในหมู่ประชาชนก็ดี.... ผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินกว่า 7 ปี และให้ปรับไม่เกินกว่าสองพันบาท ด้วยอีกโสตหนึ่ง แต่ถ้าวาจา หรือลายลักษณ์อักษร หรือเอกสารตีพิมพ์ หรืออุบายอย่างใดๆ ที่ได้กระทำไปภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อสาธารณะประโยชน์ หรือเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต หรือเป็นเพียงการติชมตามปกติวิสัย ในบรรดาการกระทำของรัฐบาลหรือของราชการแผ่นดิน การกระทำนั้นไม่ให้ถือว่าเป็นความผิด” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ปรากฎบทบัญญัติยกเว้นความผิดที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ โดยเป็นการให้คุณค่ากับสิทธิเสรีภาพของประชาชน การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อประโยชน์สาธารณะ

 

เปลี่ยนมาใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 จุดเริ่มต้นมาตรา 112

ในช่วงทศวรรษ 2490 กลุ่มอำนาจฝ่ายนิยมสถาบันพระมหากษัตริย์พยายามฟื้นฟูสถานะและอำนาจของสถาบันกษัตริย์ในฐานะความเป็นชาติดังเช่นระบอบเก่า ขณะที่คณะราษฎรเริ่มหมดอำนาจทางการเมือง และการเมืองของโลกอยู่ในช่วงสงครามเย็นที่มีการโจมตีระบอบกษัตริย์โดยแนวคิดคอมมิวนิสต์

จึงมีการตราประมวลกฎหมายอาญาพ.ศ.2499 ขึ้นใช้แทนกฎหมายลักษณะอาญา ฉบับเดิม โดยย้ายบทบัญญัติมาตรา 98 ของกฎหมายลักษณะอาญาไปอยู่ในมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายใหม่ โดยยกเลิกบทยกเว้นความผิดพร้อมแก้ไขเนื้อความเป็นว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี” โดยมาตรา 112 ถูกบัญญัติไว้ในหมวดความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

ในยุคสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ช่วงทศวรรษ 2500 การหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ถูกนำไปผูกเข้ากับความผิดต่อความมั่นคงแห่งรัฐ เช่น การเป็นคอมมิวนิสต์ นำไปสู่ดำเนินการกำจัดและกวาดล้างศัตรูทางการเมือง เช่น กรณีการประหารชีวิตนายครอง จันทดาวงศ์ ซึ่งถูกล่าวหาว่ามีแผนร้ายในการทำลายประเทศชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ลบหลู่พระบรมเดชชานุภาพอย่างร้ายแรง[8] ความมั่นคงของรัฐกลายเป็นวาทกรรมใหม่ที่รับรองการใช้ข้อหาหมิ่นฯในลักษณะที่ขยายความหมายให้กว้างขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหลังการปฏิวัติซ้ำของจอมพลสฤษดิ์ 20 ตุลาคม 2501 คดีทั้งหมดที่เกิดขึ้นถูกดำเนินคดีในศาลทหารอีกด้วย

ต่อมายุคหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มีการสถาปนาบทบาทใหม่ของกษัตริย์ ผ่านวาทะกรรมที่เชื่อมกษัตริย์เข้ากับประชาธิปไตยนอกจากชาติด้วย เรียกว่า ราชาชาตินิยมประชาธิปไตย[9]ซึ่งได้สร้างสถานะกษัตริย์ที่อยู่เหนือการเมืองขึ้นใหม่ที่มองว่าการเมืองเป็นสิ่งที่มีลักษณะที่ฉ้อฉลสกปรก พระราชกรณียกิจและพระราชอำนาจต่างๆ ไม่ถูกเข้าใจเป็นเรื่องทางการเมืองไปด้วย[10] การคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์บทบาททางการเมืองของสถาบันตามปกติจึงอาจถูกให้ความหมายเป็นการหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ได้เช่นกัน บริบทช่วงนี้ความหมายของ การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ยังซ้อนทับเข้ากับการกระทำ คอมมิวนิสต์อย่างเข้มข้นจนแทบเป็นสิ่งเดียวกันด้วย ความหมายของการหมิ่นฯจึงมีแนวโน้มจะถูกตีความอย่างกว้างขวางเท่ากับเป็นการมุ่งล้มล้างทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ไปด้วย[11]

 

แก้ไขเพิ่มโทษสูงสุดเป็น 15 ปี หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519

ข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ขึ้นสู่จุดที่รุนแรงที่สุดในช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จากกรณีการแสดงละครแขวนคอของนักศึกษา อันเป็นที่มาของการปลุกระดมและนำไปสู่การใช้ความรุนแรง ภาพลักษณ์ของคอมมิวนิสต์และขบวนการนักศึกษาประชาชน และความกลัวต่อการคุกคามสถาบันกษัตริย์จากสงครามเย็นในช่วงเวลานั้นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวบทของมาตรา 112

หลังการยึดอำนาจของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งอ้างในแถลงการณ์ถึงเหตุผลของการยึดอำนาจว่ามี "กลุ่มบุคคล…ได้กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันเป็นการเหยียบย้ำจิตใจของคนไทยทั้งชาติ โดยเจตจำนงทำลายสถาบัน…ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนคอมมิวนิสต์ที่จะเข้ายึดครองประเทศไทย…" และต่อมาได้ออกคำสั่งให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็น “มาตรา ๑๑๒ ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”

หลังบทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยจบสิ้นลงพร้อมกับอำนาจของกองทัพ ในทศวรรษ 2520 สถาบันพระมหากษัตริย์มีบทบาทในการดำเนินพระราชกรณียกิจและโครงการในพระราชดำริต่างๆ จนนำไปสู่พระราชอำนาจนำทั้งในมิติการเมืองและมิติอุดมการณ์ที่ลงหลักสถาปนาอย่างเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น[12] นอกจากนี้ ยังมีการสร้างชุดคำอธิบายว่าพระมหากษัตริย์มีอำนาจทางการเมืองในสภาวะวิกฤต ในฐานะเป็นหลักชัยในการระงับเหตุร้ายแรง[13] หรืออธิบายพระราชอำนาจที่ไม่ได้บัญญัติเป็นลายลักษณ์ในตัวบทกฎหมายฐานะเป็นธรรมเนียมที่เข้าใจกันทุกฝ่าย ว่าเป็นพระราชอำนาจที่มีอยู่จริง[14]

ที่สำคัญพระมหากษัตริย์ไทยยังทรงเป็นเหมือน “พ่อ” ของรัฐ ชุดความสัมพันธ์สร้างอารมณ์ความรู้สึกความผูกพันใกล้ชิดหรือความรักของพลเมืองที่มีต่อกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นความรู้สึกใหม่ต่อสถาบันกษัตริย์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ขณะเดียวกันก็ทำให้การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ เพิ่มความหมายในลักษณะที่กระทบความรู้สึกของประชาชน เป็นการเนรคุณต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และประชาชนทั่วไปก็มีบทบาทเป็นผู้สร้างและเผยแพร่อุดมการณ์นี้เองด้วย

 

ตารางเปรียบเทียบความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์และโทษ ยุคก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475

กฎหมาย การกระทำที่เป็นความผิด บุคคลที่คุ้มครอง โทษ
กฎหมายตราสามดวง ทะนงองอาจ์บ่ยำบ่กลัว เจรจาหยาบช้า, ประมาทหมิ่นพระราชบัญญัติ แลพระบันทูลพระโองการ (มาตรา 7) พระเจ้าอยู่หัว ให้ลงโทษ 8 สถาน ฟันฅอริบเรือน/ตัดปากตัดหูตัดมือตัดตีน/ทวนด้วยลวดหนัง25ที50ที/จำไว้เดือนหนึ่ง แล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง/ไหมจัตุระคูน แล้วเอาตัวลงเปนไพร่/ไหมทวีคูน/ไหมลาหนึ่ง /ภาคทัณท์ไว้
เตียนนินทาว่ากล่าว (มาตรา 72) พระเจ้าอยู่หัว ให้ลงโทษ 3 สถาน ฟันฅอริบเรือน/ริบเอาสิ่งสีนแล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง /ทวนด้วยลวดหนังโดยสกัน 50 ที มิสกัน 25 ที
ด่า (มาตรา 58) ผู้มีบรรดาศักดิ์ ให้ลงโทษ 4 สถานแหวะปากลงโทษถึงสิ้นชีวิต/ตัดปาก/ทวนด้วยลวดหนัง50ทีไม้หวาย25ที /ไหมโดยยศถาศักดิ
พระราชกำหนดลักษณะหมิ่นประมาทด้วยการพูดฤาเขียนถ้อยคำเท็จออกโฆษณาการ ร.ศ.118 หมิ่นประมาท กล่าวเจรจาด้วยปาก หรือเขียนด้วยลายลักษณอักษร หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในที่เปิดเผยท่ามกลางประชุมชนทั้งหลาย ด้วยกายวาจาอันมิบังควรซึ่งเป็นที่ แลเห็นได้ชัดว่าเปนการหมิ่นประมาทแท้ (มาตรา4)
1. พระผู้เปนเจ้าซึ่งดำรงสยามรัฐมณฑล
2. สมเด็จพระอรรคมเหษี
3. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
 
จำคุกไม่เกินกว่า 3 ปี หรือปรับไม่เกินกว่า 1500 บาท หรือทั้งจำคุกและปรับ
กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127
 
ทนงองอาจ แสดงความอาฆาฎมาดร้ายหรือหมิ่นประมาท มาตรา98 1.สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
2. สมเด็จพระมเหษี  
3.มกุฎราชกุมาร
4.ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในเวลารักษาราชการต่างพระองค์
จำคุกไม่เกิน 7 ปีและปรับไม่เกิน 5,000 บาท
ทนงองอาจ แสดงความอาฆาฎมาดร้ายหรือหมิ่นประมาท (มาตรา 100) พระราชโอรส พระราชธิดา ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ว่ารัชกาลหนึ่งรัชกาลใด จำคุกไม่เกิน 3 ปีปรับและปรับไม่เกิน 2,000 บาท
กระทำให้ปรากฏแก่คนทั้งหลาย ด้วยประการใดใด โดยเจตนาต่อผล… (1) เพื่อจะให้ขาดความจงรักภักดีหรือดูหมิ่น  (มาตรา 104) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 1,000 บาท
แก้เพิ่มเติมข้อความและเพิ่มโทษมาตรา104 (1) กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 การสั่งสอนทฤษฎีการเมืองหรือเศรษฐกิจเพื่อให้บังเกิดความเกลียดชังดูหมิ่นหรือเกิดความเกลียดชัง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือระหว่างคนในชนชั้น จำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
พระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ.2470 สมุด เอกสาร หนังสือพิมพ์ หรือบทประพันธ์ที่โฆษณาในหนังสือพิมพ์อันมีความมุ่งหมายทางตรงหรือทางอ้อม คือโดยอนุมานก็ดีแนะก็ดี กล่าวกระทบก็ดีกล่าวเปรียบก็ดี โดยปริยายหรือประการอื่นก็ดี เพื่อจะ ให้เกิดความเกลียดชังหรือดูหมิ่น.. มีลักษณะอันเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน (มาตร6(5)) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “…เมื่อได้พิมพ์ขึ้นในกรุงสยาม ผู้ประพันธ์บรรณาธิการและเจ้าของ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 5,000 บาทหรือทั้งจำและปรับทั้งสองสถาน”(มาตรา36)

 

ตารางเปรียบเทียบความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์และโทษ ยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475

กฎหมาย การกระทำที่เป็นความผิด บุคคลที่คุ้มครอง โทษ
แก้ไขข้อความ,
ลดโทษ
และกำหนดบทเว้นความผิดในมาตรา 104 (1)
ของประมวลกฎหมายลักษณะอาญาร.ศ.127
กระทำการให้ปรากฏแก่คนทั้งหลายด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร หรือเอกสารตีพิมพ์ หรือด้วยอุบาย…
ก)ให้เกิดความดูหมิ่น…
แต่ถ้าวาจา หรือลายลักษณ์อักษร
หรือเอกสารตีพิมพ์ หรืออุบายอย่างใดๆ
ที่ได้กระทำไปภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อสาธารณะประโยชน์
หรือเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต หรือเป็นเพียงการติชมตามปกติวิสัย
ในบรรดาการกระทำของรัฐบาลหรือของราชการแผ่นดิน การกระทำนั้นไม่ให้ถือว่าเป็นความผิด
พระมหากษัตริย์ จำคุกไม่เกิน 7  ปีและปรับไม่เกิน 2,000 บาท
ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย (มาตรา 112)
(ไม่มีบทยกเว้นความผิด)
1.พระมหากษัตริย์ 
2.พระราชินี 
3.รัชทายาท 
4.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
จำคุกไม่เกิน 7 ปี
คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 เพิ่มอัตราโทษมาตรา 112
หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย (มาตรา 112)
1.พระมหากษัตริย์ 
2.พระราชินี 
3.รัชทายาท 
4.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
จำคุกตั้งแต่ 3 ถึง 15 ปี

 

 

1612

 

----------------------------------------------

สรุปเรียบเรียงจาก  

นพพล อาชามาส, การประกอบสร้างความกลัว และการเมืองว่าด้วยการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา112  วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2556 น.44.
 
อ้างอิง
[1] ดู งานเขียนของพระองค์เจ้าธานีนิวัติเรื่อง“The Old Siam Conception of The Monarchy”1946 และ ดูข้อสังเกตนี้ในธงชัย วินิจจะกุล 2548.ข้ามให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง14ตุลาคม.กรุงเทพฯ:มูลนิธิ14ตุลา.
[2] ดู นพพล อาชามาส การประกอบสร้างความกลัว และการเมืองว่าด้วยการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2556 น.44.
[3] ดู ควอวิช เวลส์, การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ, แปลโดย กาญจนีละอองศรี, และยุพา ชุมจันทร์,พิมพ์ครั้งที่ 1( กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช, 2527), น. 41.
[4] ดู ฐนาพงษ์   ทอนฮามแก้ว เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 วิทยานิพนธ์ นิติศาสตร์มหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2553 น.82.
[5] อ้างแล้ว[2] น.53-56.
[6] ดู พระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พุทธศักราช 2470 ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 44 (5 กันยายน 2470).
[7] อ้างแล้ว[2]น.60.
[8] ดู ตามไท ดิลกวิทยรัตน์ 2546 .“ภาพลักษณ์ของ“คอมมิวนิสต์”ในการเมืองไทย”, รัฐศาสตร์สาร24(2)น.188-189.
[9] ดู ประจักษ์ ก้องกีรติ 2548.และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฎ:การเมืองวัฒนธรรมของนักศึกษาและปัญญาชนก่อน14ตุลา.กรุงเทพฯ.สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
[10] ดู ธงชัย วินิจกุล 2548.ข้ามให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง14ตุลาคม.กรุงเทพฯ:มูลนิธิ14ตุลา.
[11] ดู ธานินทร์ กรัยวิเชียร 2520น.100-101.พระมหากษัตริย์ไทยในระบอบประชาธิปไตย(พิมพ์ครั้งที่3).กรุงเทพฯ:กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ.
[12] ดู ชนิดา ชิดบัณฑิตย์ 2550.โครงการอันเนื่องมากพระราชดำริ:การสถาปนาอำนาจนำในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.กรุงเทพฯ:มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์.
[13] เพิ่งอ้าง,น. 184-185.
[14] ดู ธงทอง จันทรางศุ 2548.พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ.กรุงเทพฯ:ศูนย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.