1524 1403 1815 1136 1752 1338 1460 1267 1949 1042 1819 1475 1129 1755 1097 1852 1272 1216 1089 1189 1198 1671 1831 1407 1756 1992 1522 1138 1946 1381 1222 1665 1486 1580 1233 1416 1297 1089 1025 1907 1948 1357 1363 1121 1387 1353 1734 1103 1899 1795 1453 1562 1299 1878 1148 1106 1681 1566 1959 1353 1188 1956 1724 1141 1743 1753 1148 1946 1968 1772 1606 1212 1341 1330 1464 1645 1390 1575 1659 1736 1653 1597 1804 1247 1365 1887 1898 1258 1877 1538 1272 1994 1784 1776 1284 1844 2000 1738 1984 นักโทษ 112 ร้อง "ดีเอสไอ" ทำหน้าที่หลังไม่ได้พักโทษเพราะดีเอสไอไม่ถอนหมายอายัดตัว | Freedom of Expression Documentation Center | ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ

นักโทษ 112 ร้อง "ดีเอสไอ" ทำหน้าที่หลังไม่ได้พักโทษเพราะดีเอสไอไม่ถอนหมายอายัดตัว

 

ปิยะ นักโทษคดีมาตรา 112 ที่ถูกจับและคุมขังมานาน 5 ปี มีสิทธิได้รับการพักโทษและอาจถูกปล่อยตัวต้นปี 2563 แต่ความติดขัดในเอกสารอาจทำให้เข้าไม่ได้รับสิทธิพักโทษ โดยในปี 2557 "ดีเอสไอ" เคยส่งหมายอายัดตัวคดี 112 คดีที่ 2 ของเขาไปที่เรือนจำ แม้ว่าต่อมาปิยะจะถูกพิพากษาจำคุกและรับโทษจำคุกคดี 112 ทั้งสองคดีไปแล้ว แต่ดีเอสไอยังไม่ถอนหมายอายัดตัวคดี 112 คดีที่สองของเขาโดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเกษียณอายุไปแล้ว

1242

 

ปิยะ ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2557 เขาถูกตั้งข้อหาและดำเนินคดีตามมาตรา 112 ฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ และความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ แยกเป็นสองคดี ซึ่งต่อมาศาลพิพากษาว่าเขามีความผิดทั้งสองคดีและลงโทษจำคุกรวม 14 ปี

 
คดีแรก ปิยะถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “นายพงศธร บันทอน” โพสข้อความหมิ่นประมาทพระกษัตริย์ฯ ปิยะยอมรับว่ารูปที่ปรากฏบนเฟซบุ๊คคือรูปของเขา แต่ปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นผู้ใช้เฟซบุ๊กนี้ หลักฐานในคดีนี้ คือ ภาพคล้ายถูกถ่ายจากเฟซบุ๊กซึ่งถูกแชร์ต่อกันบนอินเทอร์เน็ต ผู้พบเห็นภาพที่ถูกแชร์ต่อกันนำเรื่องไปกล่าวโทษต่อตำรวจในหลายท้องที่โดยไม่มีใครเคยเห็นโพสต์ต้นฉบับ ปิยะต่อสู้คดีว่า การดำเนินคดีนี้โจทก์ไม่มีหลักฐานที่เป็นหมายเลขไอพีแอดเดรส และไม่พบร่องรอยการเข้าใช้งานเฟซบุ๊กดังกล่าวในเครื่องคอมพิวเตอร์ของปิยะ ศาลอาญาไม่เชื่อข้อต่อสู้ของปิยะและพิพากษาลงโทษจำคุกเขาเป็นเวลา 9 ปี ก่อนจะลดให้เหลือ 6 ปี ต่อมาปิยะอุทธรณ์คดีและศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืน คดีนี้สิ้นสุดตั้งแต่ปลายปี 2559 ปิยะรับโทษจำคุกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 
 
คดีที่สอง เขาถูกกล่าวหาว่า ส่งอีเมล์สองอีเมล์ที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯโดยใช้ชื่อ Vicent Wang ไปยังธนาคารกรุงเทพ คดีนี้พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบคดี คือ พนักงานสอบสวนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ปิยะปฏิเสธว่า เขาไม่ได้เป็นผู้ส่งอีเมล์ โดยโจทก์มีเพียงหลักฐานว่า ปิยะเคยใช้ชื่อว่า Vincent Wang ในการค้าขายมาก่อน ศาลสั่งพิจารณาคดีนี้เป็นการลับ และห้ามคัดถ่ายสำนวนในคดี เดือนตุลาคม 2559 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บรรยากาศเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์อ่อนไหวสูงสุด ศาลพิพากษาจำคุกปิยะ 8 ปี เบื้องต้นปิยะตั้งใจจะอุทธรณ์คดี แต่ต่อมาเปลี่ยนใจขอถอนอุทธรณ์ เพื่อให้คดีถึงที่สุดและใช้สิทธิยื่นขอพระราชทานอภัยโทษรวมทั้งขอลดโทษ หรือพักโทษต่อไป คดีนี้สิ้นสุดช่วงกลางปี 2560 
 
หลังจากคดีทั้งสองถึงที่สุด ทนายความของปิยะขอคัดถ่ายสำเนาเอกสารรับรองคดีถึงที่สุด เพื่อใช้ประกอบการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ ปิยะได้รับการลดหย่อนโทษจาก พรฎ.พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2562 โดยได้รับการลดโทษครึ่งหนึ่งเหลือโทษจำคุก 7 ปี และจนถึงปัจจุบัน เขาถูกคุมขังมาแล้วเป็นเวลา 4 ปี 11 เดือน เหลือโทษจำคุกอีกราว 2 ปี 1 เดือน น้อยกว่า 1 ใน 3 ของโทษทั้งหมด ทำให้ปิยะมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ที่จะยื่นขอพักการลงโทษ 
 
การพักการลงโทษ คือ หลักเกณฑ์ของทางกรมราชทัณฑ์ที่อนุญาตให้ปล่อยตัวนักโทษที่คดีถึงที่สุดแล้วออกมาอยู่นอกเรือนจำภายใต้เงื่อนไขการคุมความประพฤติ โดยมีหลักเกณฑ์ว่า ต้องเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นดีขึ้นไป ต้องโทษจำคุกเป็นครั้งแรก และได้รับโทษมาแล้วในสัดส่วนอัตราโทษตามที่ทางราชทัณฑ์กำหนด เพื่อลดความแออัดของเรือนจำและเพื่อให้นักโทษมีโอกาสปรับตัวเพื่อกลับเข้าสู่สังคม 
 
ซึ่งนักโทษที่จะได้รับการพักโทษต้องเป็น "นักโทษเด็ดขาด" ซึ่งหมายถึงคดีถึงที่สุดแล้ว แต่ในกรณีของปิยะแม้คดีของเขาจะสิ้นสุดไปนานแล้วและมีเอกสารรับรองจากศาล แต่กลับไม่สามารถขอพักโทษได้ เนื่องจากเขายังติด "หมายอายัดตัว" ของดีเอสไอ
 
เนื่องจากระหว่างที่ปิยะถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดี 112 คดีแรกอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ พนักงานสอบสวนดีเอสไอ ต้องการเอาตัวเขาไว้ดำเนินคดีที่สอง จึงส่ง "หมายอายัดตัว" ของปิยะให้ทางเรือนจำ ตั้งแต่ปี 2557 เพื่อที่หากปิยะจะได้รับการประกันตัวจากคดี 112 คดีแรก เจ้าหน้าที่เรือนจำจะแจ้งให้ดีเอสไอทราบและเจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะมารับตัวเพื่อไปดำเนินคดีต่อในคดีที่สอง แต่ปิยะไม่ได้เคยได้รับการปล่อยตัวเลย จนกระทั่งดีเอสไอดำเนินคดีที่สอง ส่งฟ้อง พิจารณาคดี จนกระทั่งมีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว หมายอายัดตัวดังกล่าวจึงไม่ถูกใช้งานและค้างอยู่ในระบบของเรือนจำ ทั้งที่ตามกระบวนการปกติเมื่อคดีของปิยะถึงที่สุดแล้ว เจ้าหน้าที่ดีเอสไอผู้ออกหมายอายัดตัวก็ต้องแจ้งมายังเรือนจำเพื่อขอถอนหมายอายัดตัวดังกล่าว
 
ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งช่วยเหลือคดีของปิยะติดต่อไปยังดีเอสไอ ให้ถอนหมายอายัดตัวตามหน้าที่ เพื่อให้ปิยะสามารถใช้สิทธิขอพักโทษได้ แต่ได้รับแจ้งว่า พ.ต.ท.อุดมวิทย์ เนียมอินทร์ พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีนี้เกษียณอายุราชการไปแล้ว และไม่สามารถติดต่อได้ อีกทั้งเจ้าหน้าที่คนอื่นยังหาสำนวนคดีไม่เจอ ต้องให้ทางทนายความหรือญาติของผู้ต้องขังต้องไปดำเนินการคัดถ่ายสำเนาของหมายอายัดตัวดังกล่าวมายื่นต่อดีเอสไอ เพื่อที่ดีเอสไอจะได้ดำเนินการต่อไป
 
ทนายความของปิยะจึงติดต่อแจ้งเรื่องนี้กับเรือนจำ เพื่อขอถ่ายสำเนาหมายอายัดตัว แต่ทางเรือนจำแจ้งว่า ไม่สามารถคัดถ่ายหมายอายัดตัวให้ได้ โดยจะทำได้เพียงให้เลขที่ของหมายอายัดตัวและชื่อของพนักงานสอบสวนที่เป็นผู้ออกหมาย และให้ทนายความไปขอคัดถ่ายหมายกับทางดีเอสไอเองทนายความของปิยะจึงยังไม่ได้รับสำเนาหมายอายัดตัวฉบับที่เป็นปัญหามา และไม่สามารถดำเนินการตามขั้นตอนใดๆ ต่อไปได้นอกจากเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ปฏิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนโดยการแจ้งไปยังเรือนจำเพื่อขอถอนหมายอายัดตัวที่ไม่ได้ใช้งานแล้วออกจากระบบ
 
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน อธิบายด้วยว่า นอกจากสิทธิประโยชน์ของนักโทษเด็ดขาดในเรื่องการพักโทษดังกล่าวแล้ว หากดีเอสไอยังไม่สามารถถอนหมายอายัดดังกล่าว ปิยะก็จะไม่ได้สิทธิประโยชน์อื่นๆ ด้วย เช่น การลดวันต้องโทษจำคุก การออกไปทำงานสาธารณะ ซึ่งจะทำให้เขาต้องถูกจำคุกจนครบ 7 ปีเต็ม 
 
เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ที่ปิยะซึ่งยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และทนายความ พยายามเดินเรื่องทางเอกสาร ส่งจดหมายถึงดีเอสไอ เพื่อให้ "ทำหน้าที่" ของตัวเองโดยการดำเนินการแจ้งต่อเรือนจำเพื่อขอถอนหมายอายัดตัวปิยะ แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า
 
พ่อของปิยะที่ปัจจุบันอายุ 74 ปีก็รอคอยวันที่ลูกชายจะได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำอยู่ จึงติดต่อผ่านทางไอลอว์ให้ช่วยเป็นอีกแรงหนึ่งในการเผยแพร่เรื่องราวนี้ และฝากสังคมช่วยติดตามเร่งรัดเจ้าหน้าที่ดีเอสไอให้ดำเนินการถอนหมายอายัดตัวโดยเร็ว ด้วยความหวังว่า ปิยะจะได้รับการพิจารณาให้พักโทษภายในต้นปี 2563