1017 1604 1957 1617 1784 1235 1359 1809 1056 1887 1244 1262 1117 1145 1194 1432 1359 1586 1932 1503 1056 1623 1543 1587 1581 1656 1896 1122 1200 1644 1564 1606 1110 1239 1394 1758 1480 1866 1813 1624 1926 1218 1196 1835 1609 1792 1554 1096 1589 1708 1077 1434 1847 1581 1751 1053 1484 1499 1613 1077 1813 1395 1266 1032 1827 1839 1205 1462 1572 1711 1248 2000 1035 1412 1833 1871 1358 1013 1756 1479 1785 1487 1591 1042 1992 1485 1518 1972 1984 1202 1873 1462 1338 1855 1521 1677 1652 1296 1112 ศาลอาญาสั่งจำคุกจำเลยคดีระเบิดน้ำบูดู 9 คนจาก 14 คนในความผิดฐานอั้งยี่ ซ่องโจรและครอบครองระเบิด | Freedom of Expression Documentation Center | ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ

ศาลอาญาสั่งจำคุกจำเลยคดีระเบิดน้ำบูดู 9 คนจาก 14 คนในความผิดฐานอั้งยี่ ซ่องโจรและครอบครองระเบิด

 

965

 

25 กันยายน 2561 เวลา 9.00 น. ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่จำเลย 14คน มีภูมิลำเนาจากจังหวัดชายแดนใต้ถูกกล่าวหาว่า ครอบครองระเบิดและอั้งยี่ ซ่องโจร หรือที่รู้จักกันในชื่อ คดีระเบิดน้ำบูดู โดยตั้งแต่ช่วงเช้ามีครอบครัวของจำเลยทั้ง 14 คนจำนวนกว่า 40 คน นักข่าวจากหลายสำนัก รวมถึงองค์กรสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนมาร่วมรอรับฟังคำพิพากษา

เวลาประมาณ 10.00 น. ศาลขึ้นนั่งบัลลังก์และอ่านคำพิพากษาคดีอื่น ก่อนที่ในเวลา 10.20 น. ศาลจึงเริ่มเรียกชื่อของจำเลยทีละคนจนครบทั้ง 14 คน และกล่าวในห้องพิจารณาคดีว่า ระหว่างการพิจารณาคดีนี้ศาลมีอีกคดีหนึ่งที่มีจำเลยจำนวนประมาณ 10 คนเช่นกัน ตามปกติแล้วจะพิจารณาทีละคดีไป แต่ศาลก็พยายามจะทำให้รวดเร็ว เป็นธรรมที่สุด รวมทั้งคดีนี้จำเลยจำคุกอยู่ด้วย จึงจะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดีอย่างรวดเร็ว ในตอนแรกนั้นศาลก็คิดว่า มีจำเลยบางคนอาจได้รับการปล่อยตัว

ที่ผ่านมาศาลพิจารณาคดีโดยคำนึงถึงหลักการสิทธิและเสรีภาพ คำพิพากษาในวันนี้ยังไม่ถือว่าเป็นที่สุด เนื่องจากเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยหรือโจทก์ก็มีสิทธิเช่นกันที่จะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลในชั้นต่อไป วันนี้คำพิพากษายังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์แต่ครอบคลุมในข้อวินิจฉัยทุกประการแล้ว ศาลกล่าวย้ำว่า จำเลยมีสิทธิในการอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา โดยระบุว่า ที่ต้องพูดเช่นนี้เนื่องจากศาลอยากอธิบายให้จำเลยและญาติของจำเลยเข้าใจไปพร้อมกัน

หลังจากนั้นศาลจึงถามอีกครั้งว่า ในชั้นสอบคำให้การจำเลยทั้ง 14 คนให้การปฏิเสธ ในวันนี้ ตอนนี้ ศาลขอถามอีกครั้งว่า มีใครจะเปลี่ยนมาให้การรับสารภาพหรือไม่ จำเลยทุกคนนิ่งเฉย ศาลจึงสรุปว่า ไม่มี จากนั้นศาลจึงขอให้ผู้ที่เข้ามาร่วมรับฟังคดีทุกคนปิดเครื่องมือสื่อสาร ห้ามถ่ายภาพ, บันทึกข้อมูลและบันทึกเสียงภายในห้องพิจารณาคดี หากใครที่ทำไปแล้วศาลให้โอกาสในการลบไฟล์ข้อมูลดังกล่าวออก

ต่อมาศาลจึงอธิบายว่า ในการอ่านคำพิพากษาของศาลว่า ศาลจะอ่านในส่วนคำฟ้อง ข้อเท็จจริงและข้อวินิจฉัย ในส่วนแรกนี้จะเป็นเรื่องคำฟ้องที่เกี่ยวข้องกับขบวนการกู้ชาติรัฐปัตตานี โดยมีวัตถุประสงค์ในการแบ่งแยกดินแดนคือ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาสและบางส่วนของจังหวัดสงขลา มีกองกำลังติดอาวุธ ใช้กำลังประทุษร้ายเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน โดยจำเลยทั้งหมดถูกกล่าวหาว่า เข้าร่วมกับขบวนการดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐานอั้งยี่และซ่องโจรตามประมวลกฎหมายอาญา ขณะที่จำเลยที่ 3 ถูกกล่าวหาเพิ่มเติมว่า มีสารระเบิดชนิด PETN มีน้ำหนัก ปริมาณเท่าใดไม่ปรากฏชัดอันเป็นวัตถุระเบิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ

ข้อเท็จจริงเบื้องต้นปรากฏว่า ในระหว่างปี 2555-2559 มีเหตุความไม่สงบในพื้นที่อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาสมาตลอด เช่นการก่อเหตุความวุ่นวายเผารถยนต์, วางระเบิดแสวงเครื่องและการลอบยิงอาสาสมัครรักษาดินแดน โดยจำเลยส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส และรู้จักกับผู้ที่เคยมีประวัติการก่อเหตุในพื้นที่อำเภอศรีสาคร บางส่วนมาจากอำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส และจำเลยที่ 7 และ 14 มาจากอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี

จำเลยทั้งหมดเดินทางขึ้นมายังกรุงเทพฯและอยู่อาศัยในหลายพื้นที่เช่น หัวหมาก หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง, มีนบุรีและบางพลี เป็นต้น ต่อมาผู้เคยก่อเหตุในพื้นที่ศรีสาครส่งพัสดุที่บรรจุโทรศัพท์เคลื่อนที่มาโดยผ่านญาติของจำเลยที่ 4 พัสดุดังกล่าวมีการซุกซ่อนอยู่ภายใต้ขวดน้ำบูดูและเครื่องเทศ เมื่อจำเลยได้พัสดุดังกล่าวก็นำไปซุกซ่อนบนฝ้าเพดานห้องพักย่านบางพลี

ขณะที่จำเลยที่ 9 ให้การในชั้นสอบสวนทำนองว่า จำเลยที่ 1 ขู่บังคับในตนต้องไปตระเตรียมพื้นที่ในการก่อเหตุระเบิด หากตนไม่กระทำตามจะทำร้ายครอบครัวของตน ตนจึงไปสำรวจพื้นที่การก่อระเบิด ซึ่งคือบริเวณถังขยะหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี หัวหมาก ก่อนวันเกิดเหตุพบว่า จำเลยบางส่วนประชุมวางแผนกันและดื่มน้ำพืชกระท่อมร่วมกันก่อนถูกจับกุมในที่สุด นอกจากนี้จากการตรวจสอบสารประกอบระเบิดของเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมพบว่า มือซ้ายของจำเลยที่ 3 ปนเปื้อนสาร PETN ที่เป็นสารระเบิดชนิดแรงดันสูง ไม่ละลายน้ำ สามารถล้างออกได้ด้วยผงซักฟอกหรือสบู่

ในส่วนของข้อวินิจฉัยระบุว่า แม้ว่าในคดีนี้จะไม่มีประจักษ์พยานที่ชัดแจ้ง แต่ตามธรรมชาติของกระบวนการก่อเหตุความวุ่นวายจะต้องเก็บเป็นความลับเพื่อไม่ให้รั่วไหลไปถึงเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ดังนั้นจึงต้องพิจารณาหาพยานหลักฐานอื่นๆเช่น คำให้การซัดทอดของจำเลย โดยแม้ว่า ในการสืบพยานจำเลย จำเลยบางส่วนจะให้การว่า มีการทำร้ายร่างกายระหว่างการสอบสวน แต่เป็นการอ้างตัวเองเบิกความอย่างลอยๆ และไม่มีหลักฐานอื่นใดที่จะชี้ชัดว่า จำเลยถูกทำร้ายจริง ทั้งยังไม่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ด้วย

ศาลอธิบายเพิ่มเติมว่า ระหว่างการพิจารณาคดีนี้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา แต่ไม่เป็นเป็นคุณต่อผู้ต้องหาจึงอ้างอิงตามกฎหมายเดิม พิพากษาว่า จำเลย 1-4, 9-13  มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 วรรคแรก (เดิม) มาตรา 210 วรรคสอง(เดิม) และจำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 (พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ) มาตรา 4, 55 และ 78 วรรคหนึ่งการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเรียงเป็นกระทงความผิดไป

ฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่จำคุกคนละ 3 ปี ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจรจำคุกคนละ 3 ปี ฐานมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 3 ปี คำรับของจำเลยตามบันทึกผลการดำเนินกรรมวิธีและบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม สรุปโทษฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่จำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจรจำคุกคนละ 2 ปีฐานมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1-2,4,9-13 คนละ 4 ปีและจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 6 ปียกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 5-8 และ 14

กิจจา อาลีอิสเฮาะ ทนายความกล่าวว่า หลังจากนี้จะยื่นอุทธณ์ภายใน 30 วัน โดยมาจนถึงวันนี้จำเลยถูกจำคุกมาเกือบ 2 ปี ในประเด็นเรื่องการซ้อมทรมานในชั้นสอบสวนจนนำมาสู่การรับสารภาพนั้น กิจจากล่าวว่า ระหว่างสืบพยานจำเลย จำเลยเกือบทั้งหมดกล่าวว่า ถูกซ้อมทรมานเช่น การตบบ้องหู การต่อย ให้ถอดเสื้อผ้าและเปิดแอร์ในอุณหภูมิต่ำเพื่อไม่ให้เกิดบาดแผล แม้ว่า สุดท้ายแล้วในคำพิพากษา การเบิกความของจำเลยจะไม่มีน้ำหนักหรือที่ศาลระบุว่า เป็นคำพูดลอยๆ แต่ในความเป็นจริงเมื่อจำเลยถูกควบคุมตัวในค่ายทหาร กว่าญาติจะเข้าเยี่ยมได้ก็ผ่านไปสักพักแล้ว ขณะที่เมื่อเข้าเยี่ยมได้ก็ถูกบังคับว่า ห้ามพูดเรื่องการซ้อมทรมาน

 

สองปีแห่งความทุกข์ทนของครอบครัว

ฮาฟิซ ซีกาจิ ผู้ประสานงานเปอร์มาส กรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์การจับกุมจำเลย 6 คนจาก 14 คน เล่าว่า จำเลยเดินทางมาทำงานที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 ช่วงเช้ามืดตอนนั้นเขากำลังนอนอยู่ ได้ยินเสียงเคาะประตูจึงลุกไปมองที่ระเบียงเห็นเจ้าหน้าที่จำนวนมาก จนกระทั่งในตอนเช้าได้ไปถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.หัวหมากจึงทราบว่า ทั้ง 6 คนถูกจับเนื่องจากการมีใบกระท่อมไว้ในครอบครอง เขาจึงเดินเรื่องขอประกันตัว จนกระบวนการเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่บอกต้องรอ 24 ชั่วโมงถึงจะปล่อยตัว จึงกลับมารอที่ห้องพักแต่พอครบ 24 ชั่วโมงก็ยังไม่กลับ

ด้วยความสงสัยเลยไปตามที่สน.หัวหมากอีกครั้ง เขาพยายามถามตำรวจว่า ทั้ง 6 คนหายตัวไปไหน ตอนแรกตำรวจบอกเพียงว่า ปล่อยตัวแล้ว จัดการเรียบร้อยแล้ว แต่เจ้าตัวไม่กลับบ้านเอง เมื่อพยายามถามไปอีกตำรวจจึงยอมบอกว่า ทหารมาควบคุมตัวไปที่มณฑลทหารบกที่ 11 (อาศัยอำนาจตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558) หลังจากนั้นจึงประสานงานกับญาติของทั้ง 6 คน

ฮานีละ ดือลามะ แม่ของอุสมาน จำเลยที่ 4 เป็นคนหนึ่งที่ฮาฟิซได้ติดต่อว่า ให้ขึ้นมากรุงเทพฯเพราะติดต่ออุสมานและเพื่อนๆไม่ได้แล้ว เมื่อทราบข่าวจึงมาที่กรุงเทพฯ แต่ไม่มีข้อมูลใดๆเลย แต่ได้ขอความช่วยเหลือทางศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.)ไป

ต่อมาตัวแทนจากศอ.บต. ประสานงานให้จนทราบว่า อุสมานและเพื่อนๆอยู่ที่ มทบ. 11 เธอขอเข้าเยี่ยมลูกของเธอแต่ทหารไม่ยอมให้เข้าเยี่ยม เธอจึงต่อรองว่า ถ้าไม่ให้เยี่ยมขอโทรศัพท์ได้ไหม ทหารก็ปฏิเสธ พอถามว่า ส่งอาหารให้ได้ไหม อุสมานและเพื่อนๆจะได้รู้ว่า มีผู้ปกครองมา แต่ทหารไม่ยินยอมเช่นเดิม อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นมีการประสานจนยอมให้เข้าเยี่ยมเวลา 04.00 น. ของวันที่ 12 ตุลาคม 2559

เธอกล่าวว่า ระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาขายที่ดินไปจนหมดแล้ว ทุกอย่างต้องใช้เงิน บางคนแม้ญาติผู้ใหญ่เสียชีวิต พวกเขาก็ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งไปลาครั้งสุดท้าย ช่วงดังกล่าวจำเลยพลาดไปหลายอย่าง และถ้าหากว่า มีค่าทนายความ เธอคงมาไม่ถึงกระบวนการยุติธรรมวันนี้เพราะไม่มีเงินมากพอ ที่ผ่านมาเธอเคยไปขอเงินช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรม แต่กองทุนฯไม่ให้ผ่าน เธอยังระบุว่า ช่วงที่อุสมานได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านต้องกินยาจิตเวชเนื่องจากมีอาการหวาดกลัวระหว่างการควบคุมตัว

สอดคล้องกับคำกล่าวของแม่ของจำเลยอีกหลายคน หนึ่งในแม่ๆเหล่านั้นระบุว่า ที่ผ่านมาเธอต้องหยิบยืมเงินจำนวนมากเพื่อเป็นค่าเดินทางมาเยี่ยมลูกชาย รถมอเตอร์ไซค์ที่มีเป็นสมบัติชิ้นเดียวก็ต้องนำไปจำนำ นอกจากนี้ ตอนที่เธอเข้าเยี่ยมลูกชายที่มทบ.11 สภาพตอนนั้นคือ ลูกชายใส่กางเกงขาสั้นบอกเซอร์ และร้องไห้ ลูกชายบอกเธอว่า เขาไม่ถูกช็อตไฟฟ้า แต่เพื่อนอีกคนถูกช็อตไฟฟ้า

 

คำฟ้องคดี 'ระเบิดน้ำบูดู' -อั้งยี่ ซ่องโจรและครอบครองระเบิด

คดีหมายเลขดำที่อ. 561/ 2560
 
ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุดกับตาลมีซีและพวกรวม 14 คน
 
ข้อ 1. ก่อนเกิดเหตุคดีนี้เมื่อหลายปีมาแล้วมีคณะบุคคลจำนวนมากกว่าห้าคนขึ้นไปซึ่งปกปิดวิธีการดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฏหมายได้สมคบการก่อตั้งขบวนการ ร้ายโดยใช้ชื่อว่าขบวนการกู้ชาติปัตตานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการแบ่งแยกราชอาณาจักรไทยคือแบ่งแยกจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และบางส่วนของจังหวัดสงขลาออกจากราชอาณาจักรไทย ตั้งตนเป็นรัฐอิสระปกครองตนเองเรียกว่ารัฐปัตตานีหรือรัฐปัตตานีดารุสสลาม โดยกระทำการอันเป็นความผิดอาญาซึ่งความผิดนั้นมีโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปด้วยการใช้กำลังประทุษร้ายและกระทำการอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตอันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกายและเสรีภาพของบุคคลด้วยการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
 
สะสมกำลังคนและอาวุธทำการโฆษณาชวนเชื่อยุยงและปลุกระดมราษฎรที่นับถือศาสนาอิสลามและมีถิ่นที่อยู่ในเขตสามจังหวัดชายแดนใต้และบางอำเภอของจังหวัดสงขลาดังกล่าวว่าตามประวัติศาสตร์ดินแดนดังกล่าวเคยเป็นดินแดนของชนชาติมลายูอยู่ที่นับถือศาสนาอิสลามมาก่อนเรียกว่า ฟาฏอนีดารุสลามหรือปัตตานีดารุสลาม แต่ต่อมาได้ถูกประเทศไทยหรือสยามประเทศเข้ารุกรานยึดครองและรัฐบาลไทยได้ปกครองโดยไม่สนใจดูแลความเป็นอยู่ของราษฎรที่นับถือศาสนาอิสลามมีการกดขี่ ข่มเหงราษฎรที่นับถือศาสนาอิสลาม อีกทั้งข้าราชการไทยปฏิบัติต่อผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามอย่างไม่เป็นธรรมและเลือกปฏิบัติ
 
ทำให้ราษฎรที่นับถือศาสนาอิสลามและได้รับคำโฆษณาชวนเชื่อยุยงปลุกระดมดังกล่าวบางส่วนลงเชื่อเกิดความรู้สึกเกลียดชังราษฎรที่นับถือศาสนาพุทธ เกลียดชังข้าราชการและรัฐบาลไทยจึงเข้าร่วมเป็นสมาชิกของขบวนการดังกล่าวดำเนินการให้มีการแบ่งแยกดินแดนตามวัตถุประสงค์ของขบวนการชักจูงวงศ์ญาติและเพื่อนฝูงเข้าเป็นสมาชิกหรือแนวร่วมของขบวนการจัดส่งครูสอนศาสนาหรืออุสตาสเข้าไปยังโรงเรียนสอนเด็กเล็กที่เรียกว่าตาดีกาและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม(ปอเนาะ) ต่างๆเพื่อปลูกฝังแนวความคิดในเรื่องการแบ่งแยกดินแดนให้กับเด็กและเยาวชนรวมทั้งนักเรียนในโรงเรียนปอเนาะให้เกลียดชัง ฝึกระเบียบวินัยเพื่อให้เชื่อฟังคำสั่งของอุสตาส ปลุกระดมแนวคิดการปกครองแบบรัฐปัตตานีสู่กลุ่มเยาวชนที่ศึกษาอยู่ในระดับมัธยมตามโรงเรียนปอเนาะและโรงเรียนอื่นๆ
 
ซึ่งขบวนการมีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจนได้แก่ กลุ่มการเมืองท้องถิ่น กลุ่มสนับสนุนเงินทุน กลุ่มองค์กรศาสนา กลุ่มก่อการร้าย กลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีการลักลอบฝึกอาวุธสอนวิชาทหาร การสู้รบแบบกองโจรให้แก่สมาชิกของขบวนการในการก่อการร้ายเพื่อแบ่งแยกดินแดน ขบวนการดังกล่าวจะมีรายได้จากการบริจาคของสมาชิกและแนวร่วมขบวนการที่มีฐานะร่ำรวยรวมทั้งได้รับเงินสนับสนุนจากต่างประเทศที่เป็นแนวร่วมทำให้ขบวนการมีเงินทุนในการจัดซื้ออาวุธต่างๆมาทำการสะสมไว้และอาวุธอีกส่วนหนึ่งก็ได้มาจากการปล้นอาวุธของทางราชการตำรวจทหารและฝ่ายปกครอง เมื่อมีกำลังพลและและสะสมอาวุธได้พอสมควรแล้วขบวนการดังกล่าวก็ได้จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธทำการก่อการร้ายในพื้นที่ต่างๆในเขตสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และบางอำเภอของจังหวัดสงขลาดังกล่าวอย่างรุนแรงและต่อเนื่องโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายท้าทายอำนาจรัฐ
 
ใช้กำลังประทุษร้ายและฆ่าเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานต่างๆและประชาชนในพื้นที่รวมถึงก่อเหตุเผาโรงเรียน วางระเบิดสถานที่ราชการร้านค้า และที่ชุมชนต่างๆโดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญรัฐบาลไทยและเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนอันเป็นการกระทำความผิดฐานกบฏก่อการร้ายเป็นอังยี่และซ่องโจร ซึ่งการกระทำความคิดดังกล่าวข้างต้นย่อมเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปแล้วว่ายังคงมีอยู่ตลอดมาจนถึงขณะนี้และนับวันจะยิ่งมีความร้ายแรงมากขึ้น โดยมีแนวโน้มที่จะขยายพื้นที่ในการเคราะก่อเหตุเข้าสู่พื้นที่อื่นๆของประเทศไทย
 
ข้อ 2 จำเลยทั้งเก้ากับพวกอีกแปดคนซึ่งอยู่ระหว่างหลบหนียังไม่ได้นำตัวมาฟ้องได้ร่วมกันทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ
 
ก. เมื่อระหว่างวันเดือนและเวลาใดไม่ปรากฏชัดประมาณกลางปีพ.ศ. 2553 ถึงวันที่ 10 ตุลาคมพ.ศ. 2559 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องติดต่อกันวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดจำเลยทั้งเก้ากับพวกได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิดเป็นอังยี่ โดยจำเลยทั้งเก้ากับพวกได้บังอาจเค้ารวมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลที่ใช้ชื่อว่าขบวนการกู้ชาติรัฐปัตตานีอันเป็นคณะบุคคลในรูปแบบของขบวนการแบ่งแยกดินแดนและเป็นคณะบุคคลที่ปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย โดยมีความมุ่งหมายเพื่อการแบ่งแยกดินแดนจังหวัดปัตตานีจังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาสและบางอำเภอของจังหวัดสงขลาออกจากราชอาณาจักรไทยแล้วจัดตั้งเป็นประเทศหรือรัฐขึ้นใหม่ที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเองโดยใช้ชื่อว่ารัฐปัตตานีหรือปัตตานีดารุสลามดังที่กล่าวมาแล้วในฟ้องข้อหนึ่งแล้วยังได้ขยายพื้นที่ในการก่อการร้ายเข้ามาในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลอันเป็นการมิชอบด้วยกฏหมาย
 
ข. เมื่อระหว่างวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงถึงวันที่ 11 ตุลาคมพ.ศ. 2559 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งเก้ากับพวกอีกแปดคนซึ่งมีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปได้บังอาจสมคบกันเป็นซ่องโจร โดยจับกลุ่มปรึกษาตกลงวางแผนเพื่อจะกระทำการแบ่งแยกราชอาณาจักร ก่อการร้ายดังกล่าวตามฟ้องข้อก. ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดสมุทรปราการโดยร่วมกันประชุมวางแผนก่อการร้าย ใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักรและกระทำความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน เป็นความผิดต่อชีวิตและร่างกายและร่วมกันประกอบวัตถุระเบิดเพื่อใช้ฆ่าเจ้าเจ้าหน้าที่และประชาชนทั่วไปโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและจะทำให้เกิดระเบิด เป็นเหตุให้ผู้อื่นรวมถึงประชาชนทั่วไปได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กายสาหัสและถึงแก่ความตายรวมถึงทรัพย์สินเสียหาย โดยมีความประสงค์จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ทรัพย์สินของประชาชนและทรัพย์สินของรัฐที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ และก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนอันเป็นการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาคสองแห่งประมวลกฎหมายอาญาและความผิดนั้นมีกำหนดโทษประหารชีวิตจำคุกตลอดชีวิตและจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปอันเป็นการร่วมกันกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร
 
ค. เมื่อระหว่างวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงถึงวันถึงวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลากลางคืนหลังเที่ยงวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดจำเลยที่สามได้บังอาจมีสารระเบิดชนิด PETN มีน้ำหนักปริมาณเท่าใดไม่ปรากฏชัด ซึ่งเป็นสารระเบิดชนิดแรงสูงมีลักษณะสีขาวจนถึงสีเทาอ่อนและสีเหลือง ไม่ละลายน้ำ ซึ่งใช้ทำวัตถุระเบิดแบบผสมดินขยายการระเบิดใช้ในฝักแคระเบิด เมื่อเกิดการระเบิดขึ้นทำให้มีแรงทำลายหรือแรงประหารสามารถทำอันตรายต่อชีวิตวัตถุระเบิดอันเป็นวัตถุระเบิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 และเป็นวัตถุระเบิดในประเทศประเภทและชนิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบทะเบียนตามกฎกระทรวงฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 ลงวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2522 ข้อสี่ไว้ในครอบครองของจำเลยที่สามอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
 
เหตุตามฟ้องข้อ 2. ก. ข. และค. เกิดที่ตำบลใดไม่ปรากฏชัด อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส ตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ และแขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน
 
 

 

หมายเหตุ : รายละเอียดคำพิพากษาเป็นเพียงบางส่วนจากคำพิพากษาทั้งหมดที่ศาลได้อ่านจริงในวันที่ 25 กันยายน 2561 ประกอบกับข้อมูลจากเว็บไซต์ศาลอาญา

 

ชนิดบทความ: