1929 1895 1532 1923 1536 1749 1318 1680 1131 1056 1754 1370 1529 1124 1603 1594 1224 1760 1205 1032 1786 1345 1998 1959 1264 1275 1287 1368 1965 1513 1096 1100 1595 1078 1542 1540 1892 1432 1911 1016 1406 1192 1937 1511 1052 1470 1130 1470 1430 1524 1659 1300 1949 1439 1123 1033 1747 1223 1787 1586 1759 1988 1625 1614 1006 1027 1201 1216 1059 1009 1110 1712 1269 1542 1671 1895 1182 1317 1340 1863 1069 1012 1217 1421 1884 1460 1473 1852 1108 1799 1521 1207 1575 1511 1456 1261 1263 1796 1501 ร่วมจับตานัดสืบพยาน คดีต้านรัฐประหาร ! | Freedom of Expression Documentation Center | ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ

ร่วมจับตานัดสืบพยาน คดีต้านรัฐประหาร !

 
 
คดีอภิชาต ชุมนุมต้านรัฐประหาร นัดสืบพยานที่ศาลแขวงปทุมวัน 11 และ 30 กันยายน 2558 ก่อนหน้านี้อภิชาตยืนยันพร้อมสู้คดี และยินดีรับผลการพิพากษา แต่จะไม่ยอมรับประกาศคสช. 
 
ก่อนถูกดำเนินคดี อภิชาต เป็นนักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นเจ้าหน้าที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย อดีตที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการด้านเด็กและเยาวชน วุฒิสภา และอดีตประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย อภิชาตเริ่มศึกษากฎหมายอย่างจริงจังตั้งแต่สมัยเรียนในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองทั้งการชุมนุมทางการเมืองและการเสวนาทางการเมือง
 
อภิชาตยังเป็นนักกิจกรรมที่มีบทบาทโดดเด่นในการทำกิจกรรมเพื่อสังคมในนามสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย นับว่ามีบทบาทสำคัญในการผลักดันร่างข้อบังคับสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย รวมถึงได้ทำหน้าที่เป็นกรรมการในการแก้ไขกฎหมายหลายฉบับในเวลาต่อมา ปี 2556 อภิชาต จัดตั้งสถาบันยุวชนสยาม โดยมี เนติวิทย์ โชติภัทรไพศาล เป็นรองประธานสถาบันฯ และมี สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เป็นประธานที่ปรึกษา 
 
อภิชาต ถูกจับกุมตัวระหว่างการชุมนุมต่อต้านการหลังรัฐประหาร เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 ที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯสี่แยกปทุมวันเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 เขาเป็นคนแรกที่ถูกจับจากการแสดงออกในที่สาธารณะหลังกการรัฐประหาร ขณะถูกทหารคุมตัวไปที่รถอภิชาตถือป้ายที่เขียนข้อความต้านรัฐประหารพร้อมตะโกนว่า "ไม่ยอมรับอำนาจคณะรัฐประหาร" เขาถูกควบคุมตัวด้วยข้อหาฝ่าฝืนประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557 เรื่อง ห้ามชุมนุมทางการเมือง
 
318 Apichart
 
ก่อนนัดสืบพยานวันศุกร์นี้ ไอลอว์มีโอกาสสัมภาษณ์อภิชาตสั้นๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศและร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะมีขึ้นใหม่ในขณะนี้ 
 
iLaw: รู้สึกอย่างไรต่อกระแสที่นักกิจกรรม หรือคนที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ถูกเจ้าหน้าที่ทหารตามไปถึงบ้าน?
 
อภิชาต: รู้สึกแย่มาก  เพราะการแสดงความคิดเห็นที่สันติวิธีของนักกิจกรรมล้วนตั้งอยู่บนเจตนาดีที่จะให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ แต่การที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้กำลัง ในลักษณะมา ข่มขู่ คุกคามตนเอง และครอบครัว เป็นอะไรที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายกับชีวิต ทรัพย์สินและเสรีภาพ และไม่สร้างบรรยากาศของความเป็นประชาธิปไตย ผมเองก็เคยโดนเจ้าหน้าที่ ที่ไม่รู้ว่าเป็นทหารหรือตำรวจติดตาม แต่ผมไม่มีอะไร การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองและการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผ่านมาทำด้วยความสันติและไม่มีประโยชน์แอบแฝง มาจากความคิดและข้อเสนอที่อยากให้สังคมเราเป็นเท่านั้นเอง แต่มันเสียความรู้สึกในฐานะที่เราเป็นประชาชนถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐและรัฐบาลก็เพิกเฉยต่อการกระทำนั้น 
 
iLaw: คดีของอภิชาตเป็นหนึ่งในไม่กี่คดีที่ข้อหาฝ่าฝืนฯ ได้ขึ้นศาลพลเรือน คิดว่า ข้อแตกต่างจริงๆของศาลพลเรือน และ ศาลทหารเป็นอย่างไรบ้าง ?
 
อภิชาต: คดีนี้เป็นเรื่องที่พลเมืองลุกขึ้นมาปกป้องรัฐธรรมนูญและต่อต้านการรัฐประหาร ซึ่งเป็นการได้มาซึ่งอำนาจการปกครองที่ไม่ชอบตามหลักประชาธิปไตยอยู่แล้ว จึงเป็นสิทธิหน้าที่ที่พลเมืองต้องทำ  หากเห็นว่าพลเมืองทำหน้าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยคำสั่ง การพิจารณาคดีก็ต้องทำโดยศาล และศาลในที่นี้ก็ไม่ควรเป็นศาลทหาร เพราะศาลต้องดำรงไว้ด้วยความเป็นกลาง ศาลทหารมีตุลาการเป็นทหารและมีส่วนได้เสียกับการรัฐประหารด้วย ความชอบธรรมของศาลทหารในการพิจารณาคดีพลเรือนที่ต่อต้านรัฐประหารจึงไม่มี 
 
สำหรับศาลพลเรือนจริงๆก็พอคาดเดาได้ว่าศาลจะพิพากษาคดีนี้มาในแนวทางไหน แต่ตัวผมเองเลือกที่จะสู้คดีถึงที่สุด ในวันที่ออกมาต่อต้านการรัฐประหารก็เลือกที่จะไม่ยอมให้ใครมาแย่งอำนาจอธิปไตยจากเราและปกครองโดยมิชอบ วันนั้นแม้จะสู้อำนาจปลายกระบอกปืนไม่ได้ แต่วันนี้ก็เลือกที่จะต่อสู้ในทางศาลต่อไป อย่างน้อยเป็นการยืนยันอำนาจอธิปไตยและสิทธิหน้าที่ของประชาชน ให้คนในกระบวนการยุติธรรมได้ละอายใจบ้าง หากยังมีใจให้ประชาชนอยู่บ้าง
 
iLaw: ในฐานะคนที่ทำงานด้านปฏิรูปกฎหมาย หวังอะไรบ้างต่อ ร่างรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้นใหม่ ในเรื่องสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง?
 
อภิชาต: โดยส่วนตัวไม่คาดหวังว่ารัฐธรรมนูญภายใต้สถานการณ์แบบนี้ จะใส่ใจความสันติสุขของประชาชน เพราะคนร่างรัฐธรรมนูญขาดแนวคิดในการปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน บางคนดูถูกประชาชนด้วยซ้ำไป บางคนก็เห็นดีเห็นงามกับการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนจากการรัฐประหารครั้งนี้ จึงไม่คาดหวังอะไรกับคนพวกนี้ได้ 
 
การให้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนต้องเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในรัฐธรรมนูญและไม่ใช่เฉพาะชนชาวไทย แต่จะต้องคุ้มครองทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินไทยโดยไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ เชื้อชาติ ภาษา  ฐานะทางสังคม เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ในรัฐธรรมนูญก็ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญและเปิดรับฟังความคิดเห็นอย่างเต็มที่ ถ้ามีการจำกัดสิทธิเสรีภาพอย่างที่ทำกันอยู่ สังคมนี้อาจมีรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีทางสันติสุขได้ 
 
 
*คดีของอภิชาต เกิดขึ้นก่อนวันที่ 25 พฤษภาคม 2557 ก่อนการออกประกาศ คสช.ฉบับที่ 37/2557 ให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพลเรือนในข้อหาความผิดต่อความมั่นคง (เช่น ม.112 ม.116) และความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่งของคสช.
 
*นอกจากอภิชาต แล้วหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ยังมีผู้ถูกดำเนินคดี ชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ฝ่าฝืนประกาศคสช. ฉบับที่ 7/3557 หรือ ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับที่ 3/3558 ข้อ 12 อีกอย่างน้อย 69 คน 
 
Article type: