1454 1512 1021 1048 1723 1578 1061 1927 1149 1924 1068 1718 1552 1337 1067 1143 1885 1641 1402 1666 1531 1364 1861 1872 1034 1063 1693 1928 1271 1092 1998 1860 1891 1789 1189 1417 1698 1312 1072 1570 1980 1209 1414 1916 1402 1023 1243 1281 1382 1426 1525 1291 1625 1782 1787 1804 1985 1437 1150 1083 1360 1953 1990 1737 1304 1943 1006 1052 1838 1328 1186 1390 1144 1570 1179 1848 1760 1143 1034 1121 1043 1168 1298 1681 1055 1760 1140 1413 1977 1580 1636 1696 1228 1145 1720 1601 1330 1814 1989 ศาลอุทธรณ์เปลี่ยนให้รอลงอาญา คดีม.112 ของพิทักษ์พงษ์ แถมเงื่อนไขห้ามล่วงเกินสถาบันฯ อีก | Freedom of Expression Documentation Center | ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ

ศาลอุทธรณ์เปลี่ยนให้รอลงอาญา คดีม.112 ของพิทักษ์พงษ์ แถมเงื่อนไขห้ามล่วงเกินสถาบันฯ อีก

3044
 
 
 
16 มกราคม 2567 ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของพิทักษ์พงษ์ จากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวมีเนื้อหาทำนองวิจารณ์กลุ่มปกป้องสถาบันกษัตริย์และรัฐบาล โดยพาดพิงถึงความประพฤติของรัชกาลที่ 10 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งมีการสลายการชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภาด้วยแก๊สน้ำตาและมีผู้ชุมนุมถูกยิงด้วยกระสุนจริงบริเวณแยกเกียกกาย
 
คดีนี้มีผู้ร้องทุกข์คือ สุรภพ จันทร์เปล่ง โดยรับมอบอำนาจจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ต่อมา 11 มีนาคม 2564 เจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ราว 12 นาย แสดงหมายค้นค้นพักของพิทักษ์พงษ์ พร้อมตรวจยึดโทรศัพท์ ซีพียูคอมพิวเตอร์ ให้พิทักษ์พงษ์บอกรหัสผ่านโทรศัพท์และรหัสผ่านเฟซบุ๊ก หลังจากนั้นเขาได้รับหมายเรียกคดี มาตรา 112 และคดีพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) และเมื่อ 27 กันยายน 2564 อัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง ในนัดสืบพยานโจทก์เมื่อ 2 กันยายน 2565 จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลสั่งสืบเสาะและพินิจเพื่อประกอบคำพิพากษา
 
ในส่วนของคำพิพากษาศาลชั้นต้น วันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 ศาลอาญามีคำพิพากษา โดยสรุปว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ จำคุกห้าปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกสองปีกับหกเดือน พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีและรายงานการสืบเสาะแล้ว จำเลยกระทำการโดยไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งต่อพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักและเคารพศรัทธาของประชาชนชาวไทยทั่วไป จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ
 
สำหรับส่วนของคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 814 ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ใจความว่า ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับการกำหนดโทษของศาลชั้นต้นที่ให้จำคุกห้าปีเนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษเหลือจำคุกสองปีหกเดือน แต่เนื่องจากเห็นว่าจำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อน เป็นการกระทำผิดครั้งแรก และจำเลยมีอาชีพมั่นคงเป็นหลักแหล่ง พิพากษาแก้ให้รอลงอาญาสามปี  กำหนดเงื่อนไขรายงานตัวต่อคุมประพฤติสี่ครั้งต่อหนึ่งปี ให้ทำงานบริการสังคม 84 ชั่วโมง และห้ามกระทำการใดๆ ที่มีส่วนล่วงเกินสถาบันพระมหากษัตริย์อีก
 
สำหรับภูมิหลังของพิทักษ์พงษ์ เขาเป็นประชาชนทั่วไป ประกอบอาชีพพนักงานบริษัท ไม่ได้เป็นนักเคลื่อนไหวหรือนักกิจกรรมทางการเมือง จุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์สืบเนื่องมาจากเห็นข่าวสลายการชุมนุมเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2563 ที่หน้ารัฐสภา แยกเกียกกาย ซึ่งในวันดังกล่าว รัฐสภาอันประกอบด้วย สส. และ สว. มีวาระพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ โดยมีร่างจำนวนเจ็ดฉบับ รวมร่างที่เสนอโดยภาคประชาชน เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เขาโพสต์ถึงตำรวจควบคุมฝูงชน ตำรวจ และบุคคลผู้ไม่หวังดี ที่ปาหินและใช้กระสุนจริงกับผู้ชุมนุม และพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์
 
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีนี้ได้ทาง https://tlhr2014.com/archives/50809
Article type: