1344 1680 1974 1843 1628 1083 1386 1584 1716 1401 1374 1704 1128 1092 1474 1892 1161 1709 1596 1140 1190 1534 1761 1949 1503 1085 1243 1904 1765 1622 1329 1057 1085 1627 1318 1905 1992 1086 1556 1229 1383 1936 1102 1999 1835 1107 1134 1656 1932 1901 1049 1760 1243 1794 1881 1858 1336 1891 1633 1307 1510 1632 1579 1864 1571 1760 1570 1661 1365 1612 1477 1510 1263 1253 1290 1364 1975 1445 1284 1063 1073 1475 1343 1455 1591 1954 1536 1882 1864 1696 1694 1955 1055 1221 1708 1193 1108 1424 1805 ชุมนุม 64 : บททดสอบของราษฎรยามเพื่อนถูกจองจำ | Freedom of Expression Documentation Center | ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ

ชุมนุม 64 : บททดสอบของราษฎรยามเพื่อนถูกจองจำ

 
 
กระแสการชุมนุมในปี 2564 ดูผิวเผินเหมือนจะลดความร้อนแรงลงด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ระลอก 2 ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม 2563 ราษฎรในฐานะผู้จัดการชุมนุมหลักพยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเช่น จัดกิจกรรมให้กำลังใจผู้ถูกดำเนินคดีผ่านโปรแกรมซูม (Zoom) และจัดการปราศรัยในพื้นที่เป้าหมายแบบไม่นัดมวลชนให้มาร่วมและเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดียและสื่อมวลชนแทน ขณะที่การชุมนุมให้กำลังใจผู้ถูกจับกุมและดำเนินคดีกลายเป็นวัตถุประสงค์หลักของการชุมนุมที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ล้อไปกับสถานการณ์การจับกุมและดำเนินคดีประชาชนที่แสดงออกทางการเมืองซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง  โดยสถานที่จัดการชุมนุมก็มักจะเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม เช่น สถานีตำรวจ ศาล รวมถึงหน้าเรือนจำ
 
1775
 
 
1776
 
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 สถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกที่ 2 เริ่มคลี่คลายลง ประกอบกับสถานการณ์การรัฐประหารในพม่าซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 การชุมนุมทางการเมืองและการเมืองบนท้องถนนจึงเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ขณะเดียวกันประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโควิด19 ก็เริ่มกลับมาใช้การชุมนุมเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องให้ภาครัฐเข้ามาแก้ปัญหา เช่น การออกมาเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการนวดแผนโบราณ ผู้ประกอบการธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ใช้แรงงานและกลุ่มเกษตรกร 
 
1773
 
สำหรับการชุมนุมของราษฎรเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง นับจากวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเป็นวันที่ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยคดีมาตรา 112 ได้แก่ เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์, อานนท์ นำภา, สมยศ พฤกษาเกษมสุขและหมอลำแบงค์-ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้มประกันตัวระหว่างการพิจารณาคดีมาตรา 112 จากการชุมนุม 19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร  ระหว่างวันที่ 19-20 กันยายน 2564 โดยให้เหตุผลว่า หากปล่อยตัวจำเลยทั้ง 4 คนระหว่างการพิจารณาจะมีการกระทำอย่างเดียวกับที่กระทำในคดีนี้อีก 
 
 
จากกรณีที่จำเลยทั้งหมดมีแนวโน้มว่าจะถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีอย่างยาวนาน นักกิจกรรมส่วนหนึ่งจำเป็นต้องกลับมาเคลื่อนไหวบนท้องถนนอีกครั้ง และแม้ว่าข้อเรียกร้องหลัก 3 ข้อของกลุ่มราษฎร ได้แก่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ, พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และองคาพยพต้องลาออกและปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ จะยังคงถูกพูดถึงต่อไปแต่เนื้อหาที่ถูกสื่อสารหลักในการเคลื่อนไหวระลอกนี้กลายเป็นข้อเรียกร้องสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหาและจำเลยที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 และข้อหาอื่นๆที่มีมูลเหตุจากการแสดงออกทางการเมือง สำหรับจำนวนผู้ชุมนุมเพื่อเรียกร้องอิสรภาพให้ผู้ถูกคุมขังจากการแสดงออกทางการเมืองแต่ละครั้งจะแตกต่างกันไป จากน้อยที่สุดที่ประมาณ 1-20 คน ในกรณีการชุมนุมของกลุ่มเคลื่อนไหวเกิดใหม่อย่างราษฎรเอ้ยและกลุ่มอาชีวะฯ  ไปจนถึงมีจำนวนผู้เข้าร่วมสูงสุดที่ไม่น้อยกว่า 2,500 คนในการชุมนุมของแกนนำเดิมอย่างแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564
 
1767
 
ท่ามกลางความพยายามในการสั่งสมมวลชน การชุมนุมแต่ละครั้งต้องเผชิญความยากลำบากจากการปราบปรามที่ไต่ระดับรุนแรงมากขึ้นของเจ้าหน้าที่รัฐ ในแง่หนึ่งความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุมอาจแปรเป็นความหวาดกลัวและส่งผลให้ผู้ชุมนุมบางส่วนตัดสินใจไม่เข้าร่วมการชุมนุมในครั้งต่อๆไป แต่ในอีกแง่หนึ่งความรุนแรงที่เกิดขึ้นก็อาจเป็นแรงผลักดันให้ผู้ชุมนุมตัดสินใจเข้าร่วมการชุมนุมในครั้งต่อๆไปได้ อาทิ การสลายการชุมนุมที่สนามหลวงเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2564 (ซึ่งเจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นพื้นที่เกี่ยวพันกับเขตพระราชฐาน) ได้นำไปสู่การชุมนุมใหญ่ที่แยกราชประสงค์ของแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 
 
 
แม้ว่าแยกราชประสงค์จะเป็นพื้นที่ที่มีประวัติการสลายการสลายการชุมนุมในปี 2553 แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันด้วยเป็นพื้นที่ พื้นที่นี้อยู่ห่างจากเขตพระราชฐานและมีความสะดวกในการเดินทาง จึงกลายเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ผู้ชุมนุมมักใช้จัดการชุมนุมตอบโต้การใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมของรัฐซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น เช่น ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 ราษฎรจัดการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์เพื่อตอบโต้การสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 และล่าสุดแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมจัดการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ในวันที่ 24 มีนาคม 2564 เพื่อตอบโต้การสลายการชุมนุมที่เกิดขึ้นในวันที่ 20 มีนาคม 2564 
 
 
ทั้งนี้การชุมนุมครั้งดังกล่าวเป็นการชุมนุมที่มีผู้เข้าร่วมมากที่สุดนับตั้งเดือนมกราคม ปี 2564 และสามารถสื่อสารในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง 3 ข้อได้อย่างครบถ้วน ทั้งข้อเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์และองคาพยพลาออกไป ข้อเรียกร้องให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์
 
 
นับจากเดือนมกราคม 2564 จนถึงวันที่ 19 เมษายน 2564 มีการชุมนุมเกิดขึ้นทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 317 แบ่งเป็นการชุมนุมในเดือนมกราคม 47 ครั้ง กุมภาพันธ์ 73 ครั้ง มีนาคม 96 ครั้งและระหว่างวันที่ 1-19 เมษายน 2564  101 ครั้ง ใน 29 จังหวัด กรุงเทพมหานครยังคงเป็นจังหวัดที่มีการชุมนุมมากที่สุดคือ 216 ครั้ง,  เชียงใหม่ 23 ครั้ง, ขอนแก่น 12 ครั้ง,  เชียงราย 11 ครั้ง และอุบลราชธานี 9  ครั้ง โดยมีการชุมนุมอย่างน้อย 34 ครั้งที่กลายเป็นคดีความ 
 
 
ขณะที่วัตถุประสงค์หลักหรือมีลักษณะเฉพาะหน้าร่วมกับวัตถุประสงค์อื่นของการชุมนุมตั้งแต่ต้นปี 2564 คือ เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักกิจกรรมและจำเลยคดีทางการเมืองที่ถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีไม่น้อยกว่า 151 ครั้ง หากแบ่งเป็นช่วงเวลาตั้งแต่การคุมขังนักกิจกรรมชุดแรกเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงปัจจุบันคือการมีไม่น้อยกว่า 147 ครั้งที่แสดงออกเรียกร้องในประเด็นนี้
 
 

เดินขบวน-ไร้แกนนำ-ปักหลักยาว...สร้างความเป็นไปได้แบบใหม่

 
 
แม้ว่าจะประสบความยากลำบากในการรวมผู้ชุมนุม แต่ความเคลื่อนไหวยังปรากฏเรื่อยมาในรูปแบบใหม่ที่ต่างไปจากการตั้งเวทีปราศรัยอย่างที่เคยเป็นมาในปี 2563 โดยมีเป้าหมายเพื่อสั่งสม ขยายฐานมวลชนและปลุกกระแสการเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 2 อีกครั้ง ดังนี้
 
 
  • การเดินขบวนระยะไกล 

 
 
วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ไผ่-จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา จำเลยร่วมคดี 19 กันยาทวงอำนาจราษฎรและเครือข่ายพีเพิ้ลโก จัดกิจกรรมเดินทะลุฟ้า ซึ่งเป็นกิจกรรมเดินเท้าจากนครราชสีมาเข้ากรุงเทพมหานคร รวมระยะทาง 247.5 กิโลเมตร โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย การเดินขบวนนี้ใช้วิธีการสื่อสารกับประชาชนผู้รับสารต่างจากเดิมคือทางผู้จัดเป็นคนเดินเข้าหาประชาชนถึงในพื้นที่ต่างจากเดิมที่ใช้วิธีประกาศสถานที่นัดหมายแล้วให้ประชาชนเดินเข้ามาร่วมการชุมนุม ข้อเรียกร้องหลักของกิจกรรมเดินทะลุฟ้า คือ ปล่อยเพื่อนเรา ซึ่งหมายถึงปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหาคดีการเมืองที่ถูกคุมขังโดยที่คดียังไม่ถึงที่สุด, ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ, ให้ยกเลิกมาตรา 112 และให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่ง
 
1768
 
1769
 
เมื่อขบวนเดินเข้าใกล้กรุงเทพมากขึ้นผู้ที่ไปร่วมเดินทะลุฟ้าก็มีจำนวนมากขึ้น ในวันที่ 7 มีนาคม 2564 ซึ่งขบวนเดินถึงจุดหมายคืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีผู้เข้าร่วมชุมนุมไม่น้อยกว่า 1,500 คน  ทั้งนี้ กิจกรรมเดินทะลุฟ้า ถือเป็นการเคลื่อนไหวอย่างเสรีนอกเรือนจำครั้งท้ายสุดของไผ่-จตุภัทร์ และเพื่อนร่วมทางอย่าง รุ้ง-ปนัสยาและไมค์-ภาณุพงศ์  เพราะในวันที่ 8 มีนาคม 2564 ศาลอาญามีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวทั้ง 3 คน และต้องสูญเสียอิสรภาพตามจำเลยร่วมในคดีชุมนุม 19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร อีก 4 คนที่ถูกคุมขังมาแล้วตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 
 
 
 
  • การชุมนุมไร้แกนนำ 

 
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 เยาวชนปลดแอกเปิดตัวรีเด็ม (REDEM) หรือ ประชาชนสร้างตัว วิธีการจัดชุมนุมของรีเด็มคล้ายคลึงกับปรากฏการณ์ไร้แกนนำในเดือนตุลาคม 2563 ตอบสนองต่อสถานการณ์ที่แกนนำทยอยเดินเข้าเรือนจำ เน้นการสื่อสารบนโลกออนไลน์และการให้อำนาจสมาชิกออกเสียงเลือกสถานที่หรือวันชุมนุมผ่านแอพลิเคชันเทเลแกรม ข้อเรียกร้องหลักของรีเด็มมุ่งตรงไปที่การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ การชุมนุมของรีเด็มนับเป็นการชุมนุมที่มีจำนวนผู้เข้าร่วมจำนวนมากกว่าการชุมนุมของกลุ่มอื่นๆ อยู่ที่ประมาณ 1,500-2,000 คนต่อครั้ง จนถึงปัจจุบันการชุมนุมของรีเด็มจัดขึ้นทั้งหมด 3 ครั้ง คือ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 เดินเท้าจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปกรมทหารราบ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ราบ 1) , วันที่ 6 มีนาคม 2564 เดินเท้าจากห้าแยกลาดพร้าวไปศาลอาญา และวันที่ 20 มีนาคม 2564 ที่สนามหลวง  ใน 2 ครั้งแรกคือ วันที่ 28 กุมภาพันธ์และ 6 มีนาคม 2564 ยังอาศัยวิธีการเดินขบวนที่เป็นแนวทางเดิมที่เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2563
 
1770
 
การชุมนุมของรีเด็มสองใน 3 ครั้งเกิดขึ้นในพื้นที่อ่อนไหวของรัฐ คือ ราบ 1 และสนามหลวง เหตุที่เป็นพื้นที่อ่อนไหวเนื่องจากราบ 1 ถูกประกาศให้เป็นเขตพระราชฐาน ส่วนสนามหลวงอยู่ใกล้เขตพระราชฐานอย่างพระบรมมหาราชวัง การชุมนุมของรีเด็มในพื้นที่อ่อนไหวนี้นำไปสู่การยกระดับสลายการชุมนุมอย่างเต็มรูปแบบภายใต้เงื่อนไขเดียวกันคือเมื่อผู้ชุมนุมบางส่วนเปิดแนวสิ่งกีดขวาง การสลายการชุมนุมเริ่มจากการใช้กำลังจับกุม การใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชนตั้งแต่การฉีดน้ำเปล่า การฉีดน้ำผสมแก๊สน้ำตาไปจนถึงการใช้กระสุนยางที่ตำรวจยอมรับว่า ใช้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สลายการชุมนุม นปช. ปี 2553
 
 
  • การปักหลักพักค้างคืน 

 
วันที่ 13 มีนาคม 2564 เครือข่ายพีเพิ้ลโกและกลุ่ม Unme of Anarchy จัดกิจกรรมหมู่บ้านทะลุฟ้าที่ทำเนียบรัฐบาล ใช้วิธีการปักหลักชุมนุมต่อเนื่อง โดยเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ จากเครือข่ายพีเพิ้ลโกระบุว่า การปักหลักค้างคืนเป็นการทดลองมองหาความเป็นไปได้แบบใหม่ในการสั่งสมมวลชน มีการนัดหมายทำกิจกรรมในช่วงเวลา 18.00-21.00 น.ของทุกวัน การทำกิจกรรมเช่นนี้อาศัยมวลชนตั้งต้นในการยืนระยะและพักค้างแรม ส่วนที่เหลือจะมีประชาชนซึ่งส่วนใหญ่น่าจะมีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานครสลับกันเดินทางมาร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้นในช่วงเย็น  จำนวนประชาชนมาร่วมมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมของแต่ละวัน โดยครั้งที่มีประชาชนมาร่วมกิจกรรมน้อยที่สุดอยู่ที่ประมาณ 100 คน ส่วนครั้งที่มีคนมาร่วมมากที่สุดอยู่ที่ประมาณ 400 คน
 
 
ข้อสังเกตของการพักค้างคืนของหมู่บ้านทะลุฟ้าคือ เป็นการพักค้างตามหลังกลุ่มพีมูฟและชาวกะเหรี่ยงบางกลอย จังหวัดเพชรบุรีที่มาพักค้างตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2564 และเมื่อหมู่บ้านทะลุฟ้ามาปักหลักร่วมด้วยในสัปดาห์ต่อมาหรือวันที่เสาร์ที่ 13 มีนาคม 2564 ข้อเรียกร้องของพีมูฟและชาวบ้านบางกลอยมีความคืบหน้ามากขึ้นรวดเร็วจากเดิม ผู้ที่เกี่ยวข้องเปิดประชุมพูดคุยในวันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564 ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ หลังจากนั้นเมื่อข้อตกลงบรรลุผลทั้ง 2 กลุ่มจึงออกจากพื้นที่ข้างทำเนียบรัฐบาลไปเหลือเพียงชาวหมู่บ้านทะลุฟ้า ท้ายสุดตำรวจนำกำลังเข้าสลายการชุมนุมหมู่บ้านทะลุฟ้าในวันที่ 28 มีนาคม 2564 โดยอ้างว่าผู้ชุมนุมกระทำผิดหลายกฎหมายหลายบทและมีการเจราให้ออกนอกพื้นที่หลายครั้งแล้ว
 
 
จาก 3 วิธีการนี้จะเห็นได้ว่า การชุมนุมแบบไร้แกนนำและปักหลักนั้นมีแนวโน้มที่จะถูกรัฐปราบปรามได้ อาศัยเงื่อนไขของสถานการณ์และระยะเวลาที่เหมาะสม เช่น กรณีการชุมนุมแบบไร้แกนนำใกล้พื้นที่ "อ่อนไหว" การสลายการชุมนุมมักมีมูลเหตุมาจากการเปิดแนวสิ่งกีดขวางของผู้ชุมนุม 
 
 
การชุมนุมแบบปักหลักของหมู่บ้านทะลุฟ้า แม้ในครั้งแรกเจ้าหน้าที่จะกล่าวว่า อนุโลมให้พักค้างคืนได้แต่กี่วันจะพิจารณาอีกที แต่เมื่อการชุมุนมเริ่มแตะต้องหรือสร้างความไม่สบายใจให้แก่ศูนย์กลางอำนาจอย่างนายกรัฐมนตรี การสลายการชุมนุมก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน วาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหารเคยระบุผ่านเฟซบุ๊กทำนองว่า มีความเกี่ยวพันกับการถ่ายภาพคณะรัฐมนตรีในวันที่ 30 มีนาคม 2564 จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ออกมาให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่าการสลายการชุมนุมไม่เกี่ยวกับการถ่ายรูปแต่เป็นเรื่องปัญหาการจราจรและก็อดทนมาหลายสัปดาห์แล้ว 
 
 
ในส่วนของการเดินขบวนก็ใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรคเสียทีเดียว กรณีของการเดินทะลุฟ้าในพื้นที่ต่างจังหวัดที่อยู่ห่างไกลศูนย์กลางอำนาจอาจทำได้อย่างสะดวก แต่เมื่อเข้าเขตปริมณฑลอย่างปทุมธานี ก็เริ่มมีอุปสรรคในการเดินขบวนและการแสดงออก มีการนำกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนมาปิดเส้นทางเดินบังคับให้ผู้เดินเปลี่ยนเส้นทาง, การห้ามแขวนป้ายผ้าแสดงออกและการสร้างอุปสรรคในการใช้สถานที่ เป็นต้น 
 
 

โควิดระลอก 3 : ยืน หยุด ขัง ยังสู้ต่อ

 

1774
 
 
ต้นเดือนเมษายน 2564 ไทยเข้าสู่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ในระลอกที่ 3 ซึ่งเริ่มต้นจากสถานบันเทิงในทองหล่อ ก่อนแพร่กระจายไปในหลายจังหวัด สถานการณ์ดังกล่าวทำให้การชุมนุมเรียกร้องของราษฎรและแนวร่วมเริ่มกลับสู่ภาวะชะลอตัวอีกครั้ง มีการประกาศพักการชุมนุมของผู้จัดการชุมนุมอย่างน้อย 2 กลุ่มคือ รีเด็มและสามัคคีประชาชน แม้สภาวะเช่นนี้ไม่เอื้อต่อการชุมนุมของผู้คนจำนวนมาก แต่จำนวนวันของผู้ถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาที่มากขึ้นและการอดอาหารที่ยาวนานของ 2 นักกิจกรรมอย่างเพนกวิน-พริษฐ์ และรุ้ง-ปนัสยา กลายเป็นอีกปัจจัยหลักที่ทำให้มีประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งออกมาทำกิจกรรมในที่สาธารณะเพื่อเรียกสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องขังและจำเลยคดีการเมือง
 
 
การเคลื่อนไหวในเดือนเมษายน 2564 พุ่งเป้าไปที่การเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดี กลุ่มพลเมืองโต้กลับ นำโดยพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ ประกาศจัดกิจกรรม "ยืน หยุด ขัง" ที่หน้าศาลฎีกาเพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวผู้ต้องหาและจำเลยคดีการเมืองรวมทั้งเคารพสิทธิในการประกันตัวของประชาชน กิจกรรมนี้เริ่มจัดครั้งแรกในวันที่ 22 มีนาคม 2564 รูปแบบของกิจกรรมคือการยืนเฉยๆหรือยืนชูป้ายในสถานที่ที่กำหนดเป็นเวลาต่อเนื่องกัน 112 นาทีตั้งแต่เวลา 17.00-18.52 น. ในวันแรกมีผู้มาเข้าร่วมกิจกรรมประมาณ 10 คน และมีการจัดกิจกรรมต่อเนื่องเกือบทุกวัน จนมีผู้เข้าร่วมสูงสุดที่ประมาณ 450 คน เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2564
 
1772
 
กิจกรรม “ยืน หยุด ขัง” กลายเป็นต้นแบบของการเคลื่อนไหวในช่วงการแพร่ระบาดของโรค ด้วยรูปแบบของกิจกรรมที่ง่าย ไม่ต้องใช้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนมากนักและสามารถออกแบบพื้นที่ให้เกิดระยะห่างระหว่างกันได้ เริ่มมีคนในพื้นที่อื่นๆ นำกิจกรรม "ยืน หยุด ขัง" ไปจัดในพื้นที่ของตัวเอง โดยวันแรกที่มีการยืนในพื้นที่ต่างจังหวัดคือ วันที่ 5 เมษายน 2564 คณะอุบลปลดแอกจัดกิจกรรม “ยืน หยุด ขัง” ที่ศาลจังหวัดอุบลราชธานี จากนั้นกิจกรรมเริ่มขยายตัวไปในหลายจังหวัดอย่างเชียงราย, เชียงใหม่, ลำพูน, พิษณุโลก, นครราชสีมา, ขอนแก่น, สกลนคร, พระนครศรีอยุธยาและสงขลา ขณะที่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กิจกรรมการยืนเริ่มกระจายในสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมอื่นๆ เช่น เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
 
 
วันที่ 16 เมษายน 2564 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ข้อกำหนดนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 20 ที่ออกตามความในมาตรา 9 ของพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ระบุว่า “...ห้ามการจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 50 คน เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นกิจกรรมที่ดำเนินการโดยพนักงานเจ้าหน้าที่…” จำนวน 50 คนถือเป็นครั้งแรกๆที่นายกรัฐมนตรีได้ระบุในข้อกำหนดและการเป็นจำนวนที่ผู้ชุมนุมนำมาปรับกลยุทธ์รับมือกับความเสี่ยงของโควิด 19 และยืนระยะในการเรียกร้องต่อไปได้
 
 
การปรับตัวของกิจกรรมยืนหยุดขังเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 ที่เชียงใหม่กลุ่ม We, The People ประกาศจะใช้พื้นที่ในการแสดงออกเพิ่มขึ้น เพื่อกระจายกลุ่มลดความเสี่ยงของการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่อาจเกิดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อได้และคดีความ ระบุว่า “...เราจะขอแบ่งผู้ร่วมยืนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละไม่เกิน 49 คน โดยสามารถแบ่งกลุ่มออกไปยืนบนลานหน้าศาลแขวงเก่าตรงข้ามลานสามกษัตริย์ หรือกระจายไปสู่จุดอื่นๆ ได้อีก จึงเรียนมาเพื่อทราบ ยังไม่เคยปรากฏว่า มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการชุมนุม แต่รัฐพยายามใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ  มาจัดการผู้ประท้วงเสมอ...”
 
 
ต่อมาในส่วนของพลเมืองโต้กลับ วันที่ 17 เมษายน 2564 ได้ออกแถลงการณ์ปรับรูปแบบของกิจกรรมให้มีการลงทะเบียนล่วงหน้าและรับจำนวน 40 คนต่อวันเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกินจำนวน 50 คนตามข้อกำหนดนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 20 และจะต้องผ่านการคัดกรองโรค เว้นระยะห่างและสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดทั้งกิจกรรม  กรณีที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมครบ 40 คนแล้ว ทางกลุ่มสนับสนุนให้มีการยืนในพื้นที่ที่ห่างเช่น หน้าศาลหลักเมืองและศาลพระแม่ธรณี 
 
 
การเคลื่อนไหวนับแต่นี้เป็นบททดสอบสำคัญที่จะพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า การเด็ดหัวหรือการจองจำแกนนำไม่ใช่ตอนจบของการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและไม่ใช่ทางออกของความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน
 

 

Article type: