1961 1929 1144 1328 1625 1367 1737 1364 1118 1266 1647 1887 1490 1348 1259 1448 1147 1546 1766 1872 1764 1851 1464 1010 1248 1158 1528 1445 1453 1549 1252 1933 1374 1692 1352 1529 1802 1618 1594 1849 1904 1738 1052 1449 1976 1217 1996 1629 1628 1508 1884 1096 1417 1953 1341 1854 1808 1677 1774 1366 1124 1978 1732 1489 1927 1340 1034 1496 1150 1464 1249 1736 1909 1918 1538 1431 1867 1782 1015 1959 1267 1753 1735 1755 1697 1376 1536 1003 1525 1126 1205 1726 1967 1670 1778 1925 1927 1348 1926 ไวรัสอู่ฮั่น อีกเหตุผลที่เราต้องรักษาเสรีภาพ | Freedom of Expression Documentation Center | ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ

ไวรัสอู่ฮั่น อีกเหตุผลที่เราต้องรักษาเสรีภาพ


"อู่ฮั่นอยู่ไม่ไกลตัวเรานัก" เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV) ที่มีแหล่งกำเนิดจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน ข้อมูลที่เปิดเผยออกมาจนถึงวันที่ 26 มกราคม 2563 มีผู้ติดเชื้อเกือบ 2,000 รายแล้ว ในประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อเป็นรายที่แปดแล้ว สถานการณ์โรคระบาดรอบนี้เริ่มต้นขึ้นจากการพบผู้ติดเชื้อรายแรกในเดือนธันวาคม 2562 ก่อนจะแพร่กระจายไปในหลายประเทศในเดือนมกราคม 2563 ในการแพร่ระบาดของโรคครั้งนี้ทางการจีนได้แจ้งต่อองค์การอนามัยโลก (WHO) หลังพบผู้ติดเชื้อครั้งแรกเป็นเวลา 23 วัน เร็วกว่าครั้งที่ไวรัสซาร์ส ซึ่งเป็นไวรัสในตระกูลเดียวกันระบาดในปี 2545 ครั้งนั้นทางการจีนแจ้งต่อ WHO หลังพบผู้ติดเชื้อครั้งแรกเป็นเวลา 86 วัน
 

แม้จีนจะมีพัฒนาการในการแจ้งต่อ WHO แต่มาตรการที่เกี่ยวข้องในการระงับการแพร่กระจายของโรคยังเป็นที่ถกเถียง ไวรัสอู่ฮั่นเริ่มระบาดตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 ในด้านหนึ่งทางการจีนมีการเรียกตัวแพทย์มาเตรียมความพร้อมและตรวจสอบคนที่ใช้บริการสาธารณะ รวมทั้ง "สีจิ้นผิง" ประธานาธิบดีของจีนยังออกแถลงการณ์ต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2563 ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขจากโลกตะวันตกมองว่า จีนรับมือไวรัสอู่ฮั่นอย่างรวดเร็วขึ้นกว่าอดีต
 
 
แต่อีกด้านหนึ่ง ทั้งที่การแพร่ระบาดเริ่มต้นในเดือนธันวาคม 2562 จีนยังคงปล่อยให้ชาวเมืองอู่ฮั่นที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเดินทางออกจากเมือง และนำไปสู่การแพร่เชื้อในประเทศอื่นๆ จนกระทั่งประกาศปิดเมืองอู่ฮั่นเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2563 นอกจากนี้สิ่งที่สังคมโลกสงสัย คือ ความร้ายแรงที่แท้จริงของการแพร่ระบาด จีนเป็นประเทศที่ควบคุมเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพของสื่อมวลชน การรายงานข่าวเรื่องไวรัสอู่ฮั่นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น มีรายงานความพยายามปิดปากบรรดานักวิจารณ์และสื่อมวลชนที่พูดถึงเรื่องดังกล่าว ซึ่งทำให้คาดการณ์กันว่า ทางการจีนได้แจ้ง WHO เมื่อโรคได้แพร่กระจายไปในวงกว้างแล้ว และสถิติผู้ติดเชื้อหรือผู้เสียชีวิตอาจมีมากกว่าที่จีนรายงานก็ได้
 
 
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่จีนแสดงท่าทีปกปิดข้อเท็จจริงหรือจำกัดเสรีภาพการแสดงออกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรค แต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในครั้งการแพร่ระบาดของโรคซาร์สเมื่อปี 2545 การแพร่ระบาดของไวรัสในระบบทางเดินหายใจทั้งสองครั้งกลายเป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่า ทำไมเราต้องปกป้องเสรีภาพในทุกด้านของมนุษย์ทุกคน
 
 
774 ชีวิต คือ ราคาที่ต้องจ่ายระหว่างการปิดข้อมูลซาร์ส
 
 
ในปี 2545 จีนเคยเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง (Severe Acute Respiratory Syndrome: SARS) หรือ โรคซาร์สที่ยังคงเป็นปริศนาทางวิทยาศาสตร์ถึงการป้องกันรักษา ครั้งนั้นจีนพบผู้ติดเชื้อรายแรกที่มณฑลกวางตุ้งในเดือนพฤศจิกายน 2545 และรายงานต่อ WHO ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2546 ระบุว่า มีผู้ติดเชื้อ 305 คน ในจำนวนนั้นมีบุคลากรด้านสาธารณสุข โดยมีผู้เสียชีวิตห้าคน 
 
 
ก่อนและระหว่างการระบาดของโรคซาร์สทางการจีนปิดกั้นสื่อมวลชนในการรายงานเรื่องดังกล่าว นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2545 ทางการจีนปิดกั้นการรายงานของสื่อต่างประเทศในทุกข่าวที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโรคซาร์สในจีน แม้ว่า เชื้อจะแพร่ระบาดไปที่ปักกิ่งและมณฑลต่างๆ แล้วก็ตาม เหตุผลที่ทางการจีนอ้าง คือ เป็นการรายงานข่าวในด้านลบของจีน ขณะเดียวกันยังมีรายงานการจับกุมผู้ที่แพร่ข่าวการระบาดของไวรัสซาร์สด้วย
 
 
ในเดือนเมษายน 2546 เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านสาธารณสุขของจีนเคยยืนกรานว่า การแพร่ระบาดอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ มีผู้ติดเชื้อไม่มากนัก ต่อมารัฐบาลจีนกลับลำยอมรับว่า รายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตต่ำกว่าความเป็นจริง อันเป็นผลมาจากการที่เจียง เหยียนหยง แพทย์ทหารที่เขียนจดหมายบอกต่อสื่อมวลชนถึงตัวเลขของผู้ติดเชื้อไวรัสซาร์ส แรกเริ่มเขาส่งไปให้สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของจีนและโฟนนิกซ์ของฮ่องกง แต่ทั้งสองไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ ต่อมาจดหมายดังกล่าวรั่วไหลไปถึงสื่อต่างชาติ ทำให้มีการเผยแพร่ข้อมูลที่แตกต่างจากทางการจีนออกมาว่า มีผู้ติดเชื้อไม่น้อยกว่า 100 คนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในปักกิ่ง ซึ่งเวลานั้นเจ้าหน้าที่ของจีนรายงานว่า ผู้ติดเชื้อมีจำนวนไม่มากนัก
 
 
ความจริงที่ประชาชนและสื่อมวลชนร่วมกันตีแผ่ต่อสังคม คือ แรงกดดันให้เหวิ่น เจียเป่า ประธานาธิบดีของจีนในขณะนั้นสั่งให้เผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับไวรัสซาร์สต่อสาธารณะ การสื่อสารระหว่างทางการจีนและ WHO ที่เพิ่มขึ้นหรือในอีกนัยหนึ่ง คือ ความโปร่งใสด้านข้อมูลเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้การแพร่ระบาดของซาร์สบรรเทาลง ต่อมาวันที่ 19 พฤษภาคม 2547 WHO ได้ประกาศว่า ไม่มีผู้ติดเชื้อโรคซาร์สเพิ่มอีกในจีน รวมแล้วโรคซาร์สคร่าชีวิตคนไปไม่น้อยกว่า 774 คน
 
 
บทเรียนหนึ่งของซาร์สที่ประชาคมสาธาณสุขเห็นร่วมกัน คือ การแพร่ระบาดของซาร์สจะไม่ร้ายแรงเช่นนี้หากรัฐบาลจีนโปร่งใสเปิดเผยข้อเท็จจริงต่อสังคมอย่างทันท่วงที ไม่ใช่กล่าวในทำนองว่า ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม และไม่ยื้อเวลา 86 วันก่อนการแจ้งต่อ WHO ซึ่งทั้งหมดส่งผลต่อการเตรียมพร้อมรับมือของประเทศในภูมิภาคด้วย ด้านผู้เชี่ยวชาญประเทศจีน มหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์ระบุว่า จากเหตุการณ์นี้ทำให้กรอบคิดของจีนเรื่องกิจการภายในประเทศ ที่วางตัวออกห่างจากการแทรกแซงของต่างประเทศถูกท้าทาย
 
 
ไวรัสอู่ฮั่นกับฉากปิดกั้นเสรีภาพเดิมๆของจีน
 
 
ประวัติศาสตร์วนซ้ำกลับมาอีกครั้ง จีนต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่น ซึ่งเป็นไวรัสในตระกูลโคโรนาเช่นเดียวกับไวรัสซาร์สที่เคยแพร่ระบาดในจีนเมื่อ 17 ปีก่อน แม้ทางการจีนจะมีพัฒนาการในการแจ้งต่อ WHO เร็วขึ้น แต่การปิดกั้นข้อมูลและการวิพากษ์วิจารณ์ยังคงปรากฏเช่นที่เคยเป็นมา รัฐบาลจีนมีประวัติของการควบคุมอินเทอร์เน็ต สื่อมวลชนและภาคประชาสังคมในประเทศมาโดยตลอด ซึ่งเป็นต้นทุนที่สำคัญในการควบคุมความรับรู้ข้อมูลภายในประเทศในสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่น
 
 
หลังจากที่มีการรายงานผู้ติดเชื้อรายแรกในวันที่ 3 ธันวาคม 2563 ทางการจีนยังไม่มีมาตรการป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพและวาดภาพความปกติให้แก่สังคม บทความจากเดอะนิวยอร์กไทมส์รายงานว่า เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านทางเดินหายใจระดับสูงบอกในรายการโทรทัศน์ของทางการเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2563 ว่า การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสอยู่ภายใต้การควบคุม แต่ 11 วันถัดมาเขากลับติดเชื้อระหว่างการตรวจโรคที่อู่ฮั่น ขณะที่วันที่ 20 มกราคม 2563 จีนยังคงจัดกิจกรรมขนาดใหญ่ที่เปิดให้มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากกว่า 40,000 ครอบครัวเพื่อทำลายสถิติโลก ส่วนเจ้าหน้าที่ในเมืองอู่ฮั่นยืนยันว่า ไวรัสดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมและรักษาได้ ตำรวจสอบประชาชนแปดคนในอู่ฮั่นที่โพสต์เกี่ยวกับไวรัสอู่ฮั่น อ้างว่า ทั้งหมดมีพฤติการณ์แพร่ข่าวลือทางอินเทอร์เน็ต
 
 
ในสายตาของนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนมองทำนองว่า ลักษณะการรับรู้ของสังคมต่อไวรัสอู่ฮั่นเหมือนกับตอนที่ไวรัซาร์สแพร่ระบาดเมื่อ 17 ปีก่อน คือการรับรู้ของประชาชนในเรื่องการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสยังมีอย่างจำกัด เมื่อสื่อเริ่มเผยแพร่ว่า เชื้อกระจายไปในหลายพื้นที่แล้ว เจ้าหน้าที่จึงเริ่มขยับตัวเช่นเดียวกับครั้งที่ไวรัสซาร์สระบาด เมื่อนายแพทย์เจียงเปิดโปงต่อสื่อทางการ จีนจึงแสดงท่าทีจริงจังในการเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น อย่างไรก็ตามการที่จีนจำกัดเสรีภาพสื่อมวลชนมาตลอดทำให้สื่อจำนวนมากที่เคยมีบทบาทในอดีตสูญเสียความเข้มแข็ง เหลือเพียงสื่อไม่กี่แห่งในจีนแผ่นดินใหญ่ที่รายงานสถานการณ์ปัจจุบัน
 
 
การเก็บข้อมูลของสื่อมวลชนยังคงมีอุปสรรค ตำรวจได้ควบคุมตัวกลุ่มนักข่าวจากฮ่องกงที่บันทึกภาพในโรงพยาบาลอู่ฮั่นและให้ลบภาพวิดีโอที่บันทึกไว้ รวมถึงตรวจสอบโทรศัพท์และกล้องทั้งหมดด้วย ขณะที่การรายงานข่าวบนเว็บไซต์ qq.com เกี่ยวกับมาตรการที่ฮ่องรับมือกับเชื้อไวรัสถูกลบหลังเผยแพร่ไปได้เพียงสิบชั่วโมง
 
 
เสรีภาพในโลกอินเทอร์เน็ตไม่ใช่ข้อยกเว้น บีบีซีรายงานถึงการการลบโพสต์ในเว่ยป๋อและวีแชท โซเชียลมีเดียยอดนิยมของจีนกรณีของเว่ยป๋อผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าวตั้งคำถามว่า ทำไมพวกเขาถึงรู้เพียงแค่กรณีการติดเชื้อที่อู่ฮั่นเท่านั้น  และยังให้ความเห็นในทำนองว่า รัฐบาลท้องถิ่นไม่ยอมให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียรู้เป็นอย่างดีว่า การระบุคำว่า “รัฐบาล” อย่างเจาะจงจะทำให้โพสต์มีแนวโน้มถูกเซนเซอร์ได้ ขณะที่เว็บไซต์ฟรีวีแชท เว็บไซต์ที่จับตาการลบโพสต์ของวีแชทรวบรวมข้อมูลพบว่า ความเห็นถึงนายแพทย์เจียงที่เปิดโปงรัฐบาลจีนเรื่องสถิติผู้ติดเชื้อไวรัสซาร์สถูกลบออกไป
 
 
ในเรื่องการปกปิดสถิติที่แท้จริง วอชิงตันโพสต์รายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเชื่อว่า รัฐบาลจีนรายงานสถิติผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตต่ำกว่าความเป็นจริง โดยอ้างจากแหล่งข้อมูลที่ไม่ใช่รัฐในจีน แม้จะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า สถิติผู้ติดเชื้อหรือผู้เสียชีวิตที่แท้จริงมีมากกว่าที่ทางการจีนประกาศไว้หรือไม่ แต่การที่ทางการจีนจำกัดเสรีภาพการแสดงออกและเสรีภาพสื่อตลอดมา ทำให้ช่องทางที่ประชาชนจะได้รับข้อมูลเรื่องการแพร่ระบาดของโรคมีอย่างจำกัด ในแง่นี้รัฐ คือ ผู้ผูกขาดอำนาจการเล่าเรื่อง ขณะที่ความเห็นบางอย่างสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนจีนได้รับข้อมูลที่ไม่มากพอเท่าทันกับสถานการณ์  ไม่สามารถเตรียมความพร้อมรับมือได้อย่างทันท่วงที
 
 
แก่นแท้ของเสรีภาพในสถานการณ์เช่นนี้คือ การที่ประชาชนมีเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลอย่างเต็มที่และสามารถวิพากษ์การทำงานของรัฐส่งผลต่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นของรัฐและประชาชนเองจะสามารถวางแผนชีวิตของพวกเขาต่อไปได้ ขณะที่การไหลเวียนของข้อเท็จจริงในการแพร่ระบาดและแบ่งปันข้อมูลทางการแพทย์อย่างเป็นอิสระนำไปสู่การบรรเทาการแพร่ระบาดของโรค ทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราทุกคนต้องรักษาเสรีภาพในทุกด้านของมนุษย์ทุกคนไว้เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของเราในวันใดวันหนึ่ง
 
 
 
 
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เรียบเรียงจากแหล่งข้อมูล
Article type: