1071 1635 1583 1764 1157 1615 1761 1706 1263 1384 1375 1546 1181 1105 1853 1756 1722 1748 1583 1021 1334 1002 1657 1533 1793 1381 1916 1119 1854 1917 1936 1631 1063 1963 1889 1385 1621 1317 1095 1198 1768 1055 1507 1780 1399 1067 1368 1993 1076 1076 1939 1188 1850 1838 1356 1834 1616 1807 1063 1484 1283 1798 1250 1081 1745 1292 1621 1243 1987 1416 1118 1466 1138 1858 1860 1665 1894 1794 1252 1471 1033 1680 1244 1124 1005 1572 1790 1858 1312 1129 1056 1314 1256 1094 1983 1505 1330 1670 1109 กฎหมายห้ามชุมนุมในยุค คสช. | Freedom of Expression Documentation Center | ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ

กฎหมายห้ามชุมนุมในยุค คสช.

ประเทศไทยมีกฎหมายที่เจ้าหน้าที่จะเลือกหยิบมาใช้เพื่อห้ามการชุมนุม หรือเพื่อดำเนินคดีเอาผิดกับคนที่จัดการชุมนุมอยู่หลากหลายมาก ตัวอย่างเช่น


1. คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 

ข้อ 12 กำหนดว่า ผู้ใดมั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใด ๆ ที่มีจํานวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ เว้นแต่เป็นการชุมนุมที่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย

ผู้กระทําความผิดตามวรรคหนึ่งที่สมัครใจเข้ารับการอบรมจากเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นระยะเวลาไม่เกินเจ็ดวันและเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยเห็นสมควรปล่อยตัวโดยมีเงื่อนไขหรือไม่มีเงื่อนไขตามข้อ 11 วรรคสอง ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามมาตรา 37 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2529


2. พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558

เป็นกฎหมายที่ควรจะเป็นบทหลักในการจัดการชุมนุม ออกมาในยุค คสช. และบังคับใช้โดย คสช. กฎหมายนี้มีหลายมาตราที่เกี่ยวข้อง สั่งให้ผู้จัดการชุมนุมต้องแจ้งการชุมนุมต่อตำรวจในท้องที่ล่วงหน้า 24 ชั่วโมง ห้ามการชุมนุมสาธารณะในรัศมี 150 เมตรจากพระราชวัง ห้ามกีดขวางทางเข้าออกหน่วยงานของรัฐ ห้ามก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชน ห้ามพกอาวุธ ห้ามปิดบังใบหน้า ห้ามข่มขู่ให้เกิดความกลัว ห้ามเคลื่อนขบวนตอนกลางคืน ฯลฯ โดยการฝ่าฝืนข้อห้ามแต่ละข้อนั้นมีบทกำหนดโทษแตกต่างกันไป


3. มาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่น

กำหนดว่า ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต

(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี

.
4. มาตรา 215 ฐานมั่วสุมก่อความวุ่นวาย

กำหนดว่า ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ บรรดาผู้ที่กระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


5. พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522

มาตรา 108 ห้ามมิให้ผู้ใดเดินแถว เดินเป็นขบวนแห่ หรือเดินเป็นขบวนใด ๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร เว้นแต่

(1) เป็นแถวทหารหรือตำรวจ ที่มีผู้ควบคุมตามระเบียบแบบแผน
(2) แถวหรือขบวนแห่หรือขบวนใดๆ ที่เจ้าพนักงานจราจรได้อนุญาตและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานจราจรกำหนด

มาตรา 109 ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ บนทางเท้าหรือทางใด ๆ ซึ่งจัดไว้สำหรับคนเดินเท้าในลักษณะที่เป็นการกีดขวางผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร

ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท


6. พ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ.2535

มาตรา 39 ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการปิดกั้นทางหลวง หรือวางวัตถุที่แหลมหรือมีคม หรือนำสิ่งใดมาขวางหรือวางบนทางหลวง หรือกระทำด้วยประการใด ๆ บนทางหลวงในลักษณะที่อาจเกิดอันตรายหรือเสียหายแก่ยานพาหนะหรือบุคคล 

มีโทษตามมาตรา 72 จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


การชุมนุมหนึ่งครั้ง ที่แม้จะเป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธก็อาจทำให้ผู้จัดหรือผู้เข้าร่วมถูกตั้งข้อหาได้มากกว่าหนึ่งข้อหา ซึ่งการตัดสินใจเลือกว่า เมื่อใดจะถูกตั้งข้อกล่าวหาใดบ้าง แทบจะเป็นดุลพินิจของตำรวจเจ้าของคดี โดยผู้ต้องหาไม่มีสิทธิที่จะเลือกด้วย มีสิทธิเพียงให้การปฏิเสธและไปต่อสู้ในชั้นศาลเท่านั้น อย่างไรก็ดี การชุมนุมแต่ละครั้งหากถูกตั้งข้อกล่าวหามากกว่าหนึ่งข้อหา ก็อาจจะถูกศาลตีความว่า เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท และถ้าเป็นความผิดก็จะลงโทษตามฐานความผิดที่มีโทษสูงสุดเพียงบทเดียวก็ได้

แต่การที่มีกฎหมายเกี่ยวข้องกับการชุมนุมมากมาย ทำให้เสรีภาพในการชุมนุมที่แม้จะถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ กลับถูกจำกัดได้ด้วยเงื่อนไขที่กว้างขวาง ไม่มีขอบเขต ขึ้นอยู่กับการตีความและอำเภอใจของเจ้าหน้าที่รัฐ จนประชาชนที่จะใช้เสรีภาพการชุมนุมไม่สามารถคาดหมายได้ว่า จะชุมนุมแบบใดจึงไม่ผิดต่อกฎหมาย

สถานการณ์ปัญหานี้เคยถูกคาดหมายว่า จะแก้ไขให้ชัดเจนขึ้นได้เมื่อมีการออก พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ เพื่อใช้เป็นกฎหมายหลักดูแลการชุมนุม แต่หลังปี 2558 เมื่อพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ประกาศใช้แล้ว กฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็ยังคงอยู่ และยังคงถูกเอามาบังคับใช้ไปพร้อมๆ กัน แม้ผู้ชุมนุมจะปฏิบัติถูกต้องตามเงื่อนไขในพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ แล้วก็ยังอาจถูกเอาผิดด้วยกฎหมายอื่นได้ จึงกลับมีแต่สร้างความสับสนให้เพิ่มขึ้นไปอีก

 

 

Article type: