1889 1413 1605 1305 1523 1809 1991 1815 1562 1764 1001 1897 1345 1870 1584 1205 1729 1450 1733 1539 1877 1015 1437 1940 1298 1925 1012 1276 1906 1870 1514 1962 1693 1577 1167 1681 1463 1911 1526 1900 1553 1124 1646 1924 1546 1040 1869 1303 1414 1987 1996 1625 1363 1359 1385 1713 1083 1505 1237 1279 1222 1844 1322 1653 1027 1317 1306 1481 1477 1559 1099 1801 1108 1911 1734 1129 1509 1047 1120 1567 1339 1170 1827 1315 1492 1166 1145 1773 1273 1598 1874 1964 1700 1214 1711 1968 1666 1695 1790 UN ออกรายงาน เตือนสปายแวร์ “เพกาซัส” เป็นภัยต่อสิทธิมนุษยชน | Freedom of Expression Documentation Center | ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ

UN ออกรายงาน เตือนสปายแวร์ “เพกาซัส” เป็นภัยต่อสิทธิมนุษยชน

2590
 
ในขณะที่เทคโนโลยีพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว นวัตกรรมใหม่กลับถูกผู้ไม่หวังดีฉวยโอกาสนำไปหาประโยชน์โดยไม่ชอบ ซึ่งในหลายครั้งก็กลายเป็นต้นตอของการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง ความน่ากังวลของ “สปายแวร์” ก็เป็นหนึ่งในปัญหาของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปจนกฎเกณฑ์ทางสังคมตามไม่ทัน ในวันที่ 4 สิงหาคม 2565 สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Office of the High Commissioner for Human Rights - OHCHR) จึงได้ออกรายงานยื่นต่อ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council - UNHRC) เกี่ยวกับสิทธิในความเป็นส่วนตัวในยุคดิจิทัล เพื่อระบุถึงความท้าทายจากการละเมิดสิทธิในทางไซเบอร์ และให้คำแนะนำต่อรัฐสมาชิกในการรักษาสิทธิมนุษยชนท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
 
รายงานของ OHCHR ให้ความสำคัญกับ 3 ประเด็น คือ การใช้เครื่องมือเจาะระบบหรือสปายแวร์โดยรัฐ บทบาทของการเข้ารหัส (encryption) ในการปกป้องสิทธิมนุษยชนในโลกออนไลน์ และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการสอดส่องพื้นที่สาธารณะ
 
ในด้านของสปายแวร์นั้น รายงานของ OHCHR กล่าวถึงความอันตรายของใช้เทคโนโลยีเจาะระบบ โดยใช้ “เพกาซัส” เป็นตัวอย่างที่สำคัญ เพกาซัสเป็นสปายแวร์ที่มีศักยภาพสูงในการเจาะระบบโทรศัพท์โดยที่เป้าหมายไม่รู้ตัว โดยเพกาซัสถูกเปิดโปงหลังจากมีเบอร์โทรศัพท์กว่า 50,000 หมายเลขที่คาดว่าเป็นของเป้าหมายที่เพกาซัสโจมตีหลุดออกมา รายงานระบุต่อว่ามีอย่างน้อย 60 รัฐบาลใน 45 ประเทศที่มีเพกาซัสในครอบครอง และมีการใช้สปายแวร์กับเหยื่อที่เป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชน แทนที่จะใช้กับอาชญากรหรือผู้ก่อการร้ายอย่างที่ควรจะเป็น
 
การเจาะระบบอุปกรณ์สื่อสารส่วนตัวนั้นเป็นการละเมิดสิทธิในความเป็นส่วนตัวอย่างร้ายแรง และยังเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิอื่น ๆ ตามมาอีกด้วย หากข้อมูลในโทรศัพท์ถูกสปายแวร์ขโมยไป ก็อาจเป็นการเปิดประตูให้กับผู้ไม่หวังดีในการล่วงรู้ถึงความคิดของเหยื่อ อันเป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น รวมถึงเป็นการสร้างผลกระทบทางจิตใจให้กับเจ้าของโทรศัพท์ที่ถูกเจาะระบบ นอกจากนี้ สปายแวร์ยังมีผลกระทบด้านลบต่อเสรีภาพสื่อเนื่องจากเป็นการสร้าง chilling effect ให้คนไม่กล้าที่จะใช้สิทธิของตนเอง ความเสี่ยงนี้ยังกระจายไปถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมที่อาจตกอยู่ในอันตรายหากอุปกรณ์สื่อสารนั้นถูกปรับแต่งข้อมูลจนกลายเป็นหลักฐานปลอมหรือการแบล็คเมล
 
อีกประเด็นหนึ่งที่หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติให้ความสนใจคือการเข้ารหัส ซึ่งได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความเป็นส่วนตัวในโลกออนไลน์ การเข้ารหัสทำให้ผู้ใช้งานสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกสอดส่องโดยเจ้าหน้าที่รัฐ อย่างไรก็ตาม มีรัฐบาลจำนวนหนึ่งที่พยายามจำกัดการเข้าถึงการเข้ารหัสด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงและการปราบปรามอาชญากรรมบางประเภท เช่น การล่วงละเมิดทางเพศเด็ก แต่หลักฐานที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่ารัฐเหล่านี้ไม่ได้ปฏิบัติอย่างมีเหตุโดยชอบ หรือได้สัดส่วนกับความผิดที่เกิดขึ้น ในทางกลับกัน การจำกัดการเข้าถึงการเข้ารหัสจะเป็นอันตรายต่อสิทธิในความเป็นส่วนตัวและสิทธิอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
 
ประเด็นสุดท้ายคือการสอดแนมในพื้นที่สาธารณะซึ่งรวมถึงทั้งในพื้นที่ออนไลน์และโลกความเป็นจริง ในปัจจุบัน การเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นชื่อ ที่อยู่ ใบหน้า ความสนใจ ผ่านเครื่องมือใหม่ ๆ ทำให้การระบุตัวตนสามารถทำได้ง่ายมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงนี้มีผลโดยตรงต่อสิทธิมนุษยชนด้านความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงออก เนื่องจากทำให้การสอดส่องโดยรัฐทำได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น และมีหลายครั้งที่นำไปสู่การคุกคามหรือจับกุมประชาชนทั้งที่ไม่มีหลักฐานอย่างเพียงพอ โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบหลักก็มักจะเป็นชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มคนชายขอบ
 
รายงานของ OHCHR ปิดด้วยคำแนะนำต่อรัฐสมาชิกให้ออกมาตรการที่จะปกป้องสิทธิมนุษยชนท่ามกลางเทคโนโลยีที่กำลังรุดหน้า เช่น รัฐควรจะมีการทบทวนสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นกับเทคโนโลยีสอดส่องอย่างเป็นระบบ ซึ่งรวมถึงความจำเป็นและความได้สัดส่วนของเทคโนโลยี การฉวยโอกาสนำเทคโนโลยีบางอย่างไปใช้โดยมีวัตถุประสงค์ที่ไม่ชอบ นอกจากนี้ รัฐยังควรสร้างความโปร่งใสให้การใช้เทคโนโลยีสอดส่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ผ่านองค์กรที่เป็นอิสระ ตรวจสอบได้ และปฏิบัติการกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล และหากมีผู้เสียหายเกิดขึ้น ก็ต้องมีการชดเชยให้อย่างเหมาะสม อีกทั้งต้องมีข้อตกลงห้ามการซื้อขายเทคโนโลยีสอดส่องไม่ว่าจะทั้งในตลาดในประเทศหรือระหว่างประเทศ จนกว่าจะมีการบังคับใช้มาตรการปกป้องสิทธิมนุษยชน
 
หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติระบุเพิ่มเติมว่าการเจาะระบบโดยเจ้าหน้าที่รัฐนั้นควรเป็นหนทางสุดท้าย (last resort) และใช้กับความเสี่ยงร้ายแรงต่อความมั่นคงหรืออาชาญากรรมเท่านั้น โดยจำเป็นต้องมีหน่วยงานอิสระที่คอยควบคุม และต้องได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานตุลาการก่อน
 
รักษาการข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชน นาดา อัลนาชีฟ (Nada Al-Nashif) กล่าวในการเสนอรายงานว่า “เทคโนโลยีดิจิทัลสร้างประโยชน์อย่างมหาศาลต่อสังคม แต่การสอดส่องอย่างกว้างขวางก็ต้องแลกมาด้วยการลิดรอนสิทธิและการขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยที่เปี่ยมไปด้วยความหลากหลายและพลวัต กล่าวโดยสรุปแล้ว สิทธิในความเป็นส่วนตัวกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมเราจึงต้องลงมือทำในตอนนี้”
Article type: